ช่วงตั้งแต่ต้นปีมานี้หลังสภาวะความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจมีนักลงทุนหน้าใหม่โดดมาลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์กันมากขึ้นโดยจะมีตั้งแต่เล่นสั้น-เล่นยาว ก็ขึ้นอยู่ความชื่นชอบแต่ละคน คำถามที่ถูกถามกันมากที่สุดสำหรับนักลงทุนปล่อยเช่ามือใหม่นั้นคือ Rental Yield คืออะไร บทความนี้มีคำตอบและวิธีคำนวณครับ
การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างผลตอบแทนในรูปแบบ Passive Income อย่างการปล่อยเช่า ถือเป็นช่องทางการลงทุนที่น่าสนใจไม่น้อย หากกล่าวถึงประเภทอสังหาฯมือสองที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ ประเภทบ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกัน อย่างคอนโดฯ จะมีเอกลักษณ์เรื่องความสะดวกสบายในการเดินทาง อยู่ติดรถไฟฟ้า ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว เหมาะสมกับการเช่าอยู่อาศัยแบบต้องการเพิ่มพื้นที่ใช้สอย หรือเป็นแบบครอบครัวมากกว่า
หลักคิดสำหรับการตัดสินใจง่ายๆ ก็คืออสังหาริมทรัพย์แห่งใดหรือชิ้นไหนเทียบออกมาแล้วให้อัตราผลตอบแทนได้ดีกว่าและสูงกว่า ก็จะถือว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นมีความน่าสนใจและน่าลงทุนมากกว่าตามไปด้วย
โดยเหตุที่ตัวกระแสรายได้ที่ใช้คิดอัตราผลตอบแทนภายใต้แนวคิดนี้จะอ้างอิงค่าเช่าที่ได้รับรายปีเป็นสำคัญ ดังนั้นเวลาพูดถึง Yield อสังหาริมทรัพย์กันจึงรับรู้กันดีว่านั่นหมายถึง “Yield ที่ได้รับจากค่าเช่า” หรือที่หลายคนนิยม เรียกกันเต็มๆว่าเป็น “Rental Yield” นั่นเอง เทคนิควัดความถูกความแพงโดยดูจาก Yield นี้จัดว่าเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก จุดเด่นที่สำคัญก็คือจะใช้ได้ดีเป็นพิเศษหากเป็นอสังหาฯ ประเภทที่เน้นสร้างกระแสรายได้ในรูปค่าเช่า (lncome Producing Property) ดังนั้นวิธีนี้นอกจากจะใช้ได้ดีกับคอนโดฯ ที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าแล้ว ยังอาจนำไปประยุกต์ใช้กับอพาร์ตเมนต์ หอพัก โรงแรม รวมตลอดถึงอาคารพาณิชย์และแผงค้าขายได้ด้วย
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เตรียมกำลังจะย้ายจากพอร์ตหุ้นหรือเงินฝากในธนาคาร มาเล่นอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีตั้งแต่เล่นสั้น-เล่นยาว ก็ขึ้นอยู่ความชื่นชอบแต่ละคน แต่ถ้าต้องการเล่นยาวโดยกะปล่อยเช่าล่ะ เราจะมีวิธีคำนวณ Rental Yield อย่างไร
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้อ่าน ในโอกาสนี้จะใคร่พาทุกท่านมาศึกษาและเรียนรู้เคล็ดลับการประยุกต์ใช้เทคนิคแบบนี้ ซึ่งตามหลักสากลทั่วไปจะสามารถทำได้ 3 ลักษณะด้วยกัน ไล่เรียงตามความยากง่ายดังต่อไปนี้
1.Rental Yield หรืออัตราผลตอบแทนค่าเช่าเบื้องต้น จริงๆ แล้วชื่อเต็มๆ ก็คือ “Gross Rental Yield” ด้วยเหตุที่เป็นอัตราผลตอบแทนที่คำนวณได้ง่ายสุดจึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ในแง่การลงทุนแล้วกลับมองว่าเป็นเกณฑ์ชี้วัดความถูกความแพงอสังหาฯ ที่หยาบที่สุด และมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้ง่าย
สำหรับสูตรพื้นฐานในการคำนวณอัตราผลตอบแทนตัวนี้ก็คือ
Gross Rental Yield = ( ค่าเช่าที่พึงได้รับทั้งปี x 100 ) ราคาซื้อคอนโดฯ
ตัวอย่างเช่น นายสมชายซื้อคอนโดฯ ห้องหนึ่งมาในราคา 1,660,000 บาท หากคิดนำมาปล่อยเช่าคาดว่าจะมีคนเช่าเต็มตลอดทั้งปี โดยจะได้รับค่าเช่าเดือนละ 8,500 บาท
นั่นคือ Gross Rental Yield ที่ได้จะออกมาเท่ากับ ( 8,500 x 12 x 100 ) 1,660,000 = 6.14 % ราคาเช่าถ้าเป็นกรณีนี้เชื่อว่าคอนโดฯ แห่งนี้จะมีคนเช่าเต็มทั้งปี ผลตอบแทนสัมพันธ์กับราคาต้นทุนของคอนโดและได้ %Rental Yield ถือว่าเหมาะสม
ข้อควรจำถ้าเป็นคอนโด นอกจากเราคำนวณ Rental Yield % แล้วต้องไม่เริ่มบวกค่า ส่วนกลางเข้าไปรวมด้วย อย่างในกรณีนี้สมมุติว่าค่าส่วนกลางอยู่ที่ 10,800 ต่อปี ก็จะทำให้จำนวน Rental Yield ลดลง เหลือเพียง 5.49%
สำหรับเกณฑ์ชี้ความถูกความแพงตามแนวคิดนี้ กฎกำปั้นทุบดินที่นิยมใช้กันก็คืออัตราผลตอบแทนที่ได้ ควรต้องได้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยที่กู้มาซื้อคอนโดฯ ห้องนี้อย่างน้อย 2% ขึ้นไป จึงจะถือว่าน่าลงทุน
ที่ใช้เกณฑ์ไม่น้อยกว่า 2% ก็เนื่องจากเชื่อกันว่าที่ระดับ 2% นี้จะสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือน หรือค่าส่วนกลางต่างๆได้ อันจะมีผลทำให้ลงทุนแล้วมีโอกาสที่กระแสเงินสดสุทธิจะออกมาเป็นบวกได้
เกณฑ์ชี้ความถูกความแพงอีกลักษณะหนึ่งที่นิยมใช้ไม่แพ้กัน ก็คือนำไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนการลงทุนคอนโดฯใจกลางกรุงเทพฯ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 5-7% ซึ่งหากพบว่าอัตราผลตอบแทนออกมาได้ในระดับนี้หรือได้สูงกว่า ก็เท่ากับชี้บอกได้ว่าคอนโดฯ นั้นมีราคาไม่แพงและมีความน่าสนใจ
2.Net Rental Yield หรืออัตราผลตอบแทนค่าเช่าสุทธิ บางครั้งก็เรียกกันว่า “Capitalization Rate” การคิดอัตราผลตอบแทนตามแนวทางนี้จะเป็นการปรับปรุงโดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายรายเดือนที่พึงต้องจ่ายมาคิดร่วมด้วย ซึ่งทำให้ตัวตั้งแทนที่จะใช้เป็นค่าเช่าที่พึงได้รับทั้งปีแทน หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นเช่าที่พึงได้รับทั้งปีหลังจากหักค่าดูแลรักษา ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วซึ่งมีสูตรในการคำนวณดังนี้
Net Rental Yield = ((ค่าเช่าที่พึงได้รับทั้งปี – ค่าใช้จ่ายทั้งปี) x 100 ) ราคาซื้อคอนโดฯ
จากตัวอย่างเดิมหาก นายสมชาย ต้องการทราบว่าเขาควรจะได้ Net Rental Yield เท่าๆไหร่วิธีการก็คือจะต้องทำการเช็คข้อมูลค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเติมเข้ามาให้ได้ก่อน ซึ่งในการนี้หากเช็คแล้วพบว่าคอนโดฯ แห่งนี้มีค่าใช้จ่ายรายเดือน เดือนละ 2,900 บาท (ค่าใช้ส่วนกลางรายเดือน+ดอกเบี้ยธนาคารต่อเดือน) จะทำให้สามารถคำนวณอัตราผลตอบแทนตัวนี้ออกมาได้ดังนี้
Net Rental Yield = ((8,500 – 2,900)x 12 x 100) 1,660,000 = 4.04%
จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนตัวนี้ถูกคิดขึ้นมาจากผลตอบแทนสุทธิหลังจากหักรายจ่ายต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเวลานำไปประยุกต์ใช้ชี้ความถูกความแพงจึงสามารถนำไปใช้เปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมซื้อคอนโดฯ ถัวเฉลี่ยโดยตรงเลย ซึ่งเกณฑ์ตัดสินเบื้องต้นก็คือค่าที่ได้ จะต้องไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากถัวเฉลี่ย ยิ่งได้มากกว่าเท่าไหร่ถือว่าคอนโดฯ นั้นยิ่งมีราคาถูกและน่าซื้อมากขึ้นเพียงนั้น จากตัวเลขตัวอย่างถือว่าเสียดอกเบี้ยเงินกู้น้อยทำให้หลังหักลบแล้วตัวเลข Net Rental Yield ก็ยังมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
3. Cash-on-cash Rental Yield หรืออัตราผลตอบแทนค่าเช่าสุทธิตามเกณฑ์เงินสด บางครั้งในต่างประเทศนิยมเรียกอัตราผลตอบแทนตัวนี้ว่าเป็น “อัตราผลได้กลับคืนสู้เจ้าของ (Equity Dividend Rate)”
เป็นอัตราผลตอบแทนที่คำนวณได้ยากที่สุด แต่ในแวดวงการลงทุนถือว่าดีและน่าเชื่อถือที่สุด ที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นอัตราผลตอบแทนที่อ้างอิงวิธีการลงทุนในทุกมิติแล้ว โดยคิดรวมถึงเรื่องการกู้ยืมเงิน เงินจอง เงินดาวน์ เงินผ่อนและค่าตกแต่งเข้ามาร่วมด้วย จึงถือได้ว่าเป็นตัวแทนอัตราผลตอบแทนสุทธิสุดท้ายที่ผู้ลงทุนพึงจะได้รับจากการลงทุนจริงๆ
โดยสูตรมาตรฐานของการคำนวณหาอัตราผลตอบแทนค่าเช่าสุทธิตามเกณฑ์เงินสดนี้มีดังนี้คือ
Cash-on-cash Rental Yield = ((พึงได้รับทั้งปี-ค่าใช้จ่ายทั้งปี-เงินผ่อนธนาคารทั้งปี) x100 ) (เงินจอง+เงินดาวน์+ค่าตกแต่ง)
ทั้งนี้จากตัวอย่างเดิมถ้า นายสมชาย อยากรู้ Cash-on-cash Rental Yield ของการลงทุนในคอนโดฯ แห่งนี้ ก็จำเป็นจะต้องทำการสำรวจหาข้อมูลในเรื่องการกู้ยืมเงินธนาคารมาซื้อและค่าตกแต่งต่างๆ เพิ่มเติม ซึ่งหลังตรวจเช็คแล้วหากพบว่าการกู้ยืมธนาคารมาซื้อคอนโดฯ ห้องนี้ต้องจองและใช้เงินดาวน์ทั้งสิ้น 150,000 บาท และต้องผ่อนชำระคืนธนาคารเดือนละ 9,000 บาท โดยเขาคาดว่าจะต้องใช้งบตกแต่งเพิ่มเติมอีกราว 20,000 บาท
นั่นคือ Cash-on-cash Rental Yield = ((12,000 – 1,000 – 9,000 ) x 12 x 100) (150,000 + 20,000 ) = 14.12 %
ด้วยเหตุที่อัตราผลตอบแทนตัวนี้คิดขึ้นจากเงินสดที่ใช้ลงทุนจริงๆ ดังนั้นเกณฑ์การพิจารณาเพื่อเปรียบเทียบชี้ความถูกความแพง หรือความน่าสนใจในการลงทุนจึงแตกต่างจากอัตราผลตอบแทนอื่นๆ นั่นคือจะต้องเปรียบเทียบกับต้นทุนค่าเสียโอกาสในการลงทุน ( Opportunity Cost ) เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักนิยมนำมาเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขั้นสูงสุด ถ้าได้สูงกว่านั้นมากเพียงใดก็จะถือว่ายิ่งมีราคาถูกและน่าลงทุนมากเพียงนั้น
สรุป วิธีการคำนวณ Rental Yield
วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าที่เราได้นำเสนอทั้ง 3 วิธีการนั้น จะมีข้อแตกต่างกันในองค์ประกอบซึ่งนำมาคำนวณ โดยการคำนวณด้วยวิธี Gross Rental Yield นั้นจะเหมาะสมกับกรณีที่อสังหาริมทรัพย์ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และไม่ได้กู้ซื้อ เนื่องจากวิธีการนี้ไม่นำต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายเข้ามาในการคำนวณ หากมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แล้วใช้วิธีนี้จะได้อัตราผลตอบแทนที่สูงเกินจริง
ส่วนวิธี Net Rental Yield นั้นเหมาะสมกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยที่มีค่าใช้จ่ายส่วนกลางและนำดอกเบี้ยผ่อนธนาคารในแต่ละเดือนนำมาคิดด้วย เพราะวิธีการนี้มีการนำค่าใช้จ่ายเข้ามาคำนวณ แต่ไม่นำต้นทุนอื่นๆ เช่นของตกแต่ง หรือ อาจรวมไปถึงเงินค่ากองทุนเข้ามาคำนวณ หากกู้ซื้ออสังหาฯ แล้วใช้วิธีการนี้จะทำให้คำนวณได้อัตราผลตอบแทนสูงเกินจริงบ้างเล็กน้อย
และวิธี Cash on Cash Rental Yield นั้นเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการซื้ออสังหาฯ ด้วยการกู้ และมีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เพราะมีการนำปัจจัยทั้งสองเข้ามาในการคำนวณจึงสามารถคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
นำวิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าไปใช้ได้อย่างไร
ประโยชน์จากการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่านั้นคือการนำไปใช้เพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากจะเปรียบเทียบระหว่างการเลือกลงทุนในอสังหาฯ ด้วยกันแล้ว ยังสามารถนำอัตราผลตอบแทนฯ นี้ไปใช้เปรียบเทียบกับการลงทุนแบบอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยคาดหวังว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะต้องให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนทางการเงินอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ กองทุนรวม หรือตราสารทุน เนื่องจากการลงทุนในอสังหาฯ นั้นมีสภาพคล่องที่ต่ำกว่าการลงทุนประเภทอื่น
นอกจากนี้เราสามารถใช้วิธีการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่านี้มาคำนวณย้อนกลับเพื่อหาความเป็นไปได้ในการลงทุนอสังหาฯ ในพื้นที่เพื่อปล่อยเช่า โดยอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าที่เราต้องการ และอัตราค่าเช่าในตลาดจะเป็นตัวกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เราจะลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งหากไม่สามารถหาซื้ออสังหาฯ ได้ในระดับราคาดังกล่าวเนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดนั้นสูงกว่า แสดงว่าการลงทุนในอสังหาฯ เพื่อปล่อยเช่าในพื้นที่นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการ
ผลตอบแทนการลงทุน Rental Yield
บ้านเดี่ยวใหม่ หรือมือสอง โดยแยกโซนต่างตามเขตกรุงเทพฯ พบว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย(Yield%) = 4 – 6% ต่อปี
CBD มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 13.45 – 51.25 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 40,000 – 120,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 4% ต่อปี
Urban มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 7– 16.9 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 25,000 – 50,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 4% ต่อปี
วงแหวนรอบนอกฯ (ตะวันออก) มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 4.3 – 10 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 22,000 – 51,500 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย(Yield%) = 6% ต่อปี
วงแหวนรอบนอกฯ (ตะวันตก) มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 4.2 – 9.5 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 16,250 – 35,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 5% ต่อปี
ทาวน์เฮ้าส์ใหม่หรือ มือสอง พบว่า การลงทุนทาวน์เฮ้าส์มือสอง จะมี อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย(Yield%) = 4 – 5% ต่อปี โดยส่วนโซน Urban และโซนวงแหวนรอบนอกฯ (ฝั่งตะวันตก – ออก) คิดเป็น 5 % ต่อปีเท่ากัน รายละเอียด ดังนี้
CBD มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 7.6 – 13.5 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 27,000 – 50,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 4% ต่อปี
Urban มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 2.65 – 7 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 12,000 – 30,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 5% ต่อปี
วงแหวนรอบนอกฯ (ตะวันออก) มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 1.79 – 7.7 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 7,500 – 15,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 5% ต่อปี
วงแหวนรอบนอกฯ (ตะวันตก) มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 1.7 – 2.95 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 6,900 – 12,700 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 5% ต่อปี
คอนโดฯใหม่ หรือมือสอง พบว่า การลงทุนคอนโดฯมือสองจะมี อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย(Yield%) = 6 – 8% ต่อปี โดยโซนวงแหวนรอบนอก (ฝั่งตะวันออก) สูงสุดที่ 7 % ต่อปี รายละเอียด ดังนี้
CBD มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 3.65 – 9.3 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 17,800 – 45,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 6% ต่อปี
Urban มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 2.35 – 5.2 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 12,000 – 25,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 6% ต่อปี
วงแหวนรอบนอกฯ (ตะวันออก) มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 1.35 – 2.65 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 7,500 – 15,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 7% ต่อปี
วงแหวนรอบนอกฯ (ตะวันตก) มีช่วงราคาประกาศขายเฉลี่ย 1.45 – 2.35 ล้านบาท ช่วงค่าเช่าเฉลี่ย 7,000 – 11,000 บาทต่อเดือน และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield%) = 6% ต่อปี
เคล็ดไม่ลับ สำหรับนักลงทุนคอนโดปล่อยเช่า อายุคอนโดควรเก็บดอกผลไม่เกินอายุโครงการเหมาะสมที่ไม่เกิน 5-10ปี ควรหาทางขายเพื่อเอากำไรมาซื้อคอนโดทำเลใหม่ๆ ต่อไป
บทสรุป Rental Yield คือ
เครื่องมือในการคำนวณหาผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทหนึ่ง และยังมีอีกมากมายที่จะพิจารณารายละเอียดต่างๆ ที่สำคัญๆ และคิดว่าสมควรนำมาใช้ในการคำนวณมากกว่า การใช้ Rental Yield เช่น FC, VC, BEP, PB, NPV, IRR เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนและใกล้เคียงความจริงให้มากที่สุด และน่าจะเป็นการคำนวณเพื่อพิจารณาเลือกลงทุนอย่างปลอดภัยที่สุดด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นแล้วอาจทำให้เกิดภาวะการลงทุนที่ผิดพลาดไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาด ว่าจะได้รับทุนจมไม่คุ้มค่าการลงทุน และโอกาสเติบโตก็มืดมนไปด้วย ลองคำนวณ Rental Yield ทั้ง 3 แบบ เมื่อเราต้องการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นออกไป Capital Gain ถึงวันนั้นถ้าสินทรัพย์เราทำเลดี เราก็ยังสามารถได้กำไรจากการขายเพิ่มขึ้นอีกด้วย
Ref: Propertytoday
Info: ddproperty, terrabkk
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น