เทคนิคการปั่นหุ้นเบื้องต้น และการเอาตัวรอด

ในตลาดหุ้นจะมีเจ้ามืออยู่สองท่าน คือเจ้ามือตัวจริงคือผลประกอบการ และเจ้ามือแดกด่วน ที่คอยทำราคา แม้ในระยะสั้นเจ้ามือทั้งสองคนอาจทะเลาะกันบ้างราคาหุ้นอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการแต่ในระยะยาวแล้วเจ้ามือทั้งสองคนมักจะมาคืนดีกัน โดยชั้นตอนทั่วไปดังนี้
1. หุ้น A จำนวน 40 ล้านหุ้น
2. รายย่อยถือ 40% 16 ล้านหุ้น
3. ราคาตลาด 30 บาทต่อหุ้น
4. มูลค่า 40% ตามข้อสองเท่ากับ 480 ล้านบาท
5. เจ้ามือตัวจริงก็ขยันทำงานบริหารกิจการให้มี EPS เจริญเติบโตไป ส่วนเจ้ามือแดกด่วนก็ทำตัวเป็นไอ้โม่งค่อยๆเก็บหุ้นอย่างใจเย็น  ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน ราคาจะ side way ไม่ไปไหนแต่มี volume ซื้อขายทุกวัน สมมติให้เก็บหุ้นจำนวน 60% ของข้อ 2 เท่ากับ 9.6 ล้านหุ้น ใช้เงินเท่ากับ 288 ล้านบาท

ภาพที่ 1 แสดงเจ้ามือแดกด่วนทำตัวเป็นไอ้โม่งแอบเก็บหุ้นจากรายย่อยอย่างใจเย็น

6.หุ้น 9.6 ล้านหุ้น อยู่ในมือของ A B C D ซึ่งเป็นพวกเดียวกัน
7. สมมติฐานการเล่นหุ้น
    7.1 ถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นเร็ว 40% ที่เหลือจากข้อ 5 จะขายไม่ทัน และอาจเปลี่ยนใจไม่ขาย
    7.2 การเปลี่ยนใจไม่ขายตาม 7.1 ค่อยขายในราคาที่สูงขึ้น โดยกลุ่ม F ซึ่งเป็นคนนอกจะเข้ามาซื้อ
8. ตารางการซื้อขายหุ้น
    8.1 50% ของข้อ 5. เท่ากับ 4.8 ล้านหุ้นใช้ไล่ราคาหุ้น 

ปริมาณหุ้นที่เคาะซื้อราคาเฉลี่ยมูลค่าส่วนเพิ่มสะสม
4.83516.8-16.8
4.84019.22.419.2
4.84521.62.421.6
4.850242.424
4.85526.42.426.4
4.86028.82.428.8
4.86531.22.431.2
4.87033.62.433.6
4.875362.436
4.88038.42.438.4

   8.2 50% ของข้อ 5 เท่ากับ 4.8 ล้านหุ้น เก็บเอาไว้เฉยๆ
9. จากข้อ 8.1 ใช้เงินสดเท่าไรในการเข้าซื้อหุ้นจนราคาเป็น 80 บาท
10. เงินสด 38.4 ล้านบาทหายไปไหนหรือไม่
11. มูลค่าตลาดของหุ้นตามข้อ 8.1. ที่ 4.8 ล้านหุ้น ราคา 80 บาท เท่ากับ 384 ล้านบาท
12. มูลค่าตลาดของหุ้นตามข้อ 8.2. ที่ 4.8 ล้านหุ้น ราคา 80 บาท เท่ากับ 384 ล้านบาท
13. ปริมาณหุ้นในข้อ 11. และ ข้อ12. เทหายให้กลุ่ม F
14. ขณะที่ F เข้าซื้อที่ราคา 80 บาท พื้นฐานของหุ้น A เปลี่ยนไป โดยมี
   14.1 PE ratio ประมาณ 10-15 เท่า
   14.2 P/BV ประมาณ 4-5 เท่า
15 เกิดเงินงอกจากกิจกรรมในครั้งนี่เท่าไรลองคิดเอา

ภาพที่ 2 แสดง วัฐจักรหุ้นปั่น
ที่มา http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2010/08/I9543104/I9543104.html
เนื่องจากผลประโยชน์มหาศาล ใครๆที่มีเงินก็อยากจับกลุ่มเข้ามาทำราคา ถ้าหุ้นไม่มพื้นฐานรองรับราคาก็จะเหมือนพลุยิ่งชึ้นจากพื้นดินแล้วก็ตกสู่ดินเหมือนเดิมสร้างความเสียหายให้นักลงทุนมากมาย นานๆจะมี เจ้ามือทำราคาโดนกลต กล่าวโทษซักทีเช่น ในปี 2556 ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษ ฉาย บุนนาค กับพวก รวม 13 ราย ต่อดีเอสไอ ปั่นหุ้น ไมด้า ลิสซิ่ง-แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น เผยพฤติกรรมซื้อขายในกลุ่ม-เคาะราคาให้เข้าใจผิด-พยุงราคา โดยมีเจ้าหน้าที่โบรกเกอร์ 2 ราย สนับสนุนการสร้างราคา
ภาพที่ 3 แสดงการสร้างราคาหุ้น ML และ MAX
ที่มากรุงเทพธุรกิจ http://daily.bangkokbiznews.com/home/20130402

แต่ถ้าหุ้นมีพื้นฐานรองรับ เช่น distar ที่ใครๆก็บอกว่าเป็นหุ้นเน่า แต่รุ่นลูกเข้ามาได้ทำการเปลี่ยนธุรกิจจากผลิตทีวี distar มาขายเครื่องสำอางค์ KAMART และได้กำไรอย่างงดงาม กลายเป็นเป็นหุ้น VI และราคาก็ไม่กลับมาที่เดิม (ถ้ายังขายเครื่องสำอางค์ได้กำไรอยู่นะ)

ภาพที่ 4 แสดงความคิดเห็นของคนในเว็ป pantip สมัยที่ใครๆก็บอกว่าเป็นหุ้นเน่า
ที่มา http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2010/08/I9543104/I9543104.html
สรุปก็คืออยากเอาตัวรอดให้ได้ก็เก็บของพร้อมเจ้ามือในช่วงที่ราคายัง side way เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ ราคายังมี upside หน่อยเมื่อปัจจัยนั้นเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ราคาเล่นด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ จับต้องไม่ได้ ก็ปลอดภัยขึ้นเยอะครับ เจริญในการลงทุนทุกท่าน

EDWARD THORP โคตรเซียนหุ้นที่นักลงทุนไทยควรรู้จัก

Edward Thorp Pic

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในการลงทุนนั้น สิ่งหนึ่งที่มีผลกระทบต่อความมุ่งมั่นตั้งใจในการศึกษาหาความรู้ในตลาดของเรา ก็คือเรื่องราวของนักลงทุนที่เก่งกาจจนถือเป็น Idol หรือแรงบันดาลใจในการลงทุนในการลงทุนแต่ละแขนง ในวันนี้ผมจึงอยากที่จะนำเรื่องราวบางส่วนของตำนานแห่งการลงทุนอย่างเป็นระบบที่ยังมีชีวิตอย่าง Edward Thorp ให้พวกเราได้รู้จักกันครับ!

Edward Oakley Thorp ตำนานที่ยังมีชีวิตของนักลงทุนตามระบบ


เนื่องจากอาทิตย์นี้ผมเองไม่มีเวลาในการเขียนบทความมากนัก เพราะต้องเตรียมตัวสำหรับงานสัมมนาประจำปี MangmaoTalk 2015 ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ (ยังไม่เต็มนะครับ แอบเหลืออีกราวๆ 30 ที่นั่งสุดท้าย อิอิ ขอประชาสัมพันธ์หน่อย) ดังนั้นแล้ว ในวันนี้ผมจึงอยากที่จะเขียนบล็อกสั้นๆเกี่ยวกับ Idol ในการลงทุนเชิง Quantitative and Systematic Trading คนหนึ่งของผมสักหน่อย และเขาก็คือ Edward Thorp นั่นเองครับ!
โดยหากจะถามว่าทำไมผมจึงอยากให้นักลงทุนไทยหลายๆคนได้รู้จักกับบุคคลผู้นี้ล่ะก็ ผมก็คงจะต้องบอกว่า Thorp นั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในสิ่งที่เขาทำเสมอ นอกจากนั้นแล้วเขายังเป็นผู้ที่มี Impact ต่อวงการ Hedge Fund เป็นอย่างมาก ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่เขาได้นำหลักการหาขนาดการลงทุน (Position Sizing) แบบ Kelly Criterion มาประยุกต์ใช้ในแวดวงการลงทุนเป็นคนแรกๆ นอกจากนี้แล้วเขาก็ยังเป็นผู้ที่ก่อตั้งกองทุนแบบ Market Neutral Strategy ที่ชื่อว่า Princeton Newport Partners เป็นกองแรกของโลกในช่วงทศวรรษ 1960 อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และยั่งยืนของเขาก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้พบเห็นกองทุน Hedge Fund ประเภท Statistical Abritrage กันอย่างล้นหลามในเวลานี้นั่นเองครับ (บทสัมภาษณ์ช่วงล่าสุดเท่าที่ได้อ่านมา พบว่าเขากำลังทำกองทุนสไตล์ Systematic Trend Following ซึ่งใช้ข้อมูลทางด้านเทคนิคและพื้นฐานมาประกอบกัน น่าสนใจจริงๆเลย ^o^)

ประวัติโดยย่อและสิ่งต่างๆที่น่าสนใจของ Edward Thorp


Edward Oakley Thorp เกิดในวันที่ 14 สิงหาคม 1932 เขาเป็นทั้งศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์, นักเขียน, นักประดิษฐ์, นักเล่นไพ่ Blackjack และสุดยอดผู้จัดการกองทุน Hedge Fund ที่ทำการลงทุนอย่างเป็นระบบด้วยหลักสถิติและวิทยาศาสตร์
- Thorp คือผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับการพนันสุดคลาสสิคที่ชื่อว่า Beat The Dealer โดยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์เข้ามาพิสูจน์ถึงสิ่งต่างๆเกี่ยวกับความน่าจะเป็นที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยสิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ดังเป็นพลุแตกและกลายเป็นหนังสือสุดคลาสสิคก็คือ เขาได้เปิดเผยถึงผลการวิจัยจากการจำลองทางคณิตศาสตร์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เกี่ยวกับวิธีการ “นับหน้าไพ่” เพื่อเอาชนะเกม Blackjack จนทำให้บ่อนคาสิโนถึงกับต้องปรับเปลี่ยนกฎในการเล่นใหม่กันเลยทีเดียว (เขาเขียนหนังสือเล่มนี้เนื่องจากทางบ่อนคาสิโนทั้งหลาย ไม่ต้องการให้เขาเข้าไปเล่นการพนันอีกต่อไปแล้ว)

Beat_the_Dealer_by_Ed_Thorp

ภาพที่ 1 : หนังสือการเล่มเกม Blackjack สุดคลาสสิคที่ชื่อว่า Beat The Dealer ของ Edward Thorp
- Thorp คือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดหรือบิดาแห่งคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ (Wearable Computer) โดยที่เขาได้เริ่มต้นพัฒนาอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กร่วมกับ Claude Shannon ในช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อช่วยโกงในการนับจังหวะและพยากรณ์เกม Roulette Wheel ในบ่อนคาสิโน โดยที่มันมีขนาดเล็กมากๆจนสามารถสอดไว้ในถุงเท้าหรือแม้แต่ในซองบุหรี่ได้เลยทีเดียว

thorp_wearable_roulette_computer

ภาพที่ 2 : เครื่องคอมพิวเตอร์สวมใส่ขนาดเล็กเครื่องแรกของโลก ร่วมสร้างโดย Edward Thorp และ Claude Channon เพื่อใช้ในการโกงการเล่มเกม Roulette Wheel
- Thorp เคยได้พบปะและดวลเกม Bridge กับสุดยอดนักลงทุนอย่าง Warren Buffet ก่อนที่เขาจะได้ก่อตั้งกองทุนของเขาในเวลาต่อมา เนื่องจากในขณะนั้น (ปี 1968) Buffet ได้ประกาศปิดกองทุนของเขาเนื่องจากรู้สึกว่าตลาดขณะนั้นร้อนแรงเกินไปจนยากต่อการทำกำไรได้แล้ว นั่นจึงทำให้ทางนักลงทุนรายใหญ่รุ่นแรกๆของบัฟเฟตอย่าง Ralph Waldo Gerard ได้ทำการร้องขอและจัดให้ Buffet ได้พบเจอกับ Thorp เพื่อขอความเห็นกับ Buffet ว่าเขาควรจะลงทุนกับ Thorp ดีหรือไม่

ed-thorp_2622705c

ภาพที่ 3 : Edward Thorp ในบ่อนคาสิโน
- Thorp คือผู้ปฎิวัติวงการเก็งกำไรในตลาดหุ้น โดยหลังจากที่เขาสามารถทำกำไรจากบ่อนคาสิโนได้ถึงจุดหนึ่งแล้ว ในช่วงปี 1969 เขาก็ได้ใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านวิชาสถิติและความน่าจะเป็นมาประยุกต์ใช้ในตลาดหุ้น โดยที่เขาได้ค้นพบวิธีการทำกำไรจากปรากฎการณ์ความไม่สมบูรณ์แบบของราคาหุ้นในรูปแบบหนึ่งจนทำกำไรได้อย่างมหาศาล หลังจากนั้นเขาก็ได้ก่อตั้งบรษัท Convertible Hedge Associates ขึ้นมา (ภายหลังในปี 1974 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Princeton Newport Partners (PNP) ที่นักเก็งกำไรสาย Quant ส่วนใหญ่รู้จักกันดี) โดยที่กองทุนของเขานั้นถือได้ว่าเป็นกองทุนแบบ Market Neutral Strategy ที่ใช้หลัก Statistical Arbitrage และการลงทุนอย่างเป็นระบบแบบ Quantitative and Systematic Trading เป็นกองแรกๆของโลกเลยทีเดียว โดยที่กองทุน PNP ของเขานั้นสามารถที่จะทำกำไรและเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยผลกำไรทบต้น CAGR ตั้งแต่ปี 1969-1988 ที่ราว 15.1% ต่อปีหลังหักค่าบริหารงานเรียบร้อยแล้ว โดยที่มีความผันผวนของผลตอบแทนอยู่ที่ 4.3% เท่านั้น และไม่มีปีใดเลยที่ขาดทุนตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปี (ในช่วงเวลานั้นดัชนี S$P500มี CAGR ที่ราว 10.1% และความผันผวนที่ 17.3%)
Note : Princeton Newport Partners ปิดตัวลงเนื่องจากถูกสงสัยว่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาคดีของ Michael Milken ราชา Junk Bond แห่งสถาบันการเงิน Drexel Burnham Lambert อย่างไรก็ตามในภายหลัง Thorp ก็ได้พ้นข้อกล่าวหานั้นในที่สุด

pnp-cumulativereturncomparison

ภาพที่ 4 : กราฟแสดงผลตอบแทนของกองทุน Princeton Newport Partners, L.P. ตั้งแต่ช่วงปี 1969-1988 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่เสถียรและสวยงามของเขา

pnp-scheduleofcapital


ภาพที่ 5 : ตารางแสดงผลตอบแทนของกองทุน Princeton Newport Partners, L.P. ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่มีปีใดเลยที่เกิดการขาดทุนขึ้นตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปี

ข้อคิดจาก Edward Thorp (To be continue …)


อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมเองยังไม่มีเวลามากนัก ดังนั้นแล้วผมจะกลับมาอัพเดทบทความนี้ใหม่อีกครั้งในอาทิตย์นี้ (หรืออาจเป็นอาทิตย์หน้า) โดยผมจะเขียนสิ่งที่น่าสนใจที่ได้จากการอ่าบทสัมภาษณ์ของเขาในวาระต่างๆให้พวกเราได้อ่านกันต่อไปครับ
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ผมอยากทิ้งท้ายไว้อย่างรวดเร็วก็คือ Edward Thorp คือตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นบทพิสูจน์ถึงกระบวนการในการลงทุนอย่างเป็นระบบได้เป็นอย่างดี เขาคือผู้ที่แสดงให้เห็นถึงพลังของการใช้ประโยชน์จากหลักการทางสถิติและตัวเลขในการลงทุนได้อย่างน่าชื่นชมเป็นอย่างมาก ซึ่งผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเปิดมุมมองและเรื่องราวใหม่ๆให้กับเพื่อนๆหลายคนได้รู้จักกับเขากัน และนี่ก็คือทั้งหมดของบทความนี้ครับ ^^
ปล. ถ้าอยากอ่านต่อ หรือมีข้อมูลอยากแชร์กันก็ Comment ทิ้งกันไว้ได้เลยครับผม
ขอขอบคุณข้อมูลซึ่งหายากมากๆๆๆ จาก edwardothorp.com ครับผม
Link ที่น่าสนใจ
Edward Thorp เคยออกรายการ “To Tell The Truth” : https://www.youtube.com/watch?v=hPIW-OJugG4
บทความ “Bridge with Buffet” โดย Edward Thorp : Click to Download

สาเหตุที่ทำให้คนเล่นหุ้นแบบ TREND FOLLOWING ตายยาก!

จากสภาวะตลาดที่สุดผันผวนในอาทิตย์ที่แล้วราวกับแมทช์ชิงแชมป์ฟุตบอล AFC Susuki Cup 2014 ระหว่างไทยกับมาเลเซียนั้น ผมคิดว่าในอาทิตย์นี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะพูดถึงและอธิบายให้ทุกคนได้เห็นภาพว่า เหตุใดนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงมักที่จะรอดพ้นจากเงื้อมือมัจจุราจของตลาดหุ้นไปได้กันแทบจะทุกครั้ง โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องคาดการณ์อนาคตของตลาดหุ้นแต่อย่างใดเลย และนี่ก็คือสิ่งที่คุณจะได้อ่านในบทความนี้ครับ
ความลับที่ไม่ลับของกลยุทธ์ TREND FOLLOWING
ด้วยความที่ผมเป็นนักลงทุนสไตล์ Systematic Trend Following มานานพอสมควร หลายต่อหลายครั้งที่ตลาดหุ้นเป็นขาลงหรือลงแรงๆ หรือแม้แต่การประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจต่างๆจะย่ำแย่ลงนั้น  ผมมักที่จะได้รับความห่วงใยจากเพื่อนฝูง, พี่น้อง, พ่อแม่ และพี่ป้าน้าอาว่าให้ระวังตลาดด้วยนะ อย่ามัวแต่เล่นหุ้นโดยไม่สนใจปัจจัยอื่นๆภายนอกอะไรเลย แน่นอนว่าผมย่อมรู้สึกยินดีที่ได้รับความห่วงใยจากทุกคนที่รู้จักเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ผมก็มักจะทนไม่ไหวที่จะต้องตอบกลับไปว่าระบบการลงทุนที่ผมใช้อยู่นั้นสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องไปสนใจปัจจัยอื่นๆนอกเหนือจากราคาหุ้นสักเท่าไหร่นัก ซึ่งผลที่มักเกิดขึ้นก็คือ ด้วยคำพูดปากปล่าวของผมเพียงอย่างเดียวมันทำให้ในหลายๆครั้งไม่มีใครเข้าใจผมสักเท่าไหร่ ดังนั้นวันนี้ผมจึงอยากจะแชร์คำตอบอย่างละเอียดที่ว่าทำไมผมและนักลงทุนตามแนวโน้มอีกหลายๆท่าน จึงน่าจะเป็นนักลงทุนที่ “ตายยาก” และอยู่ในตลาดไปได้นานอีกหลายปีกันครับ
เล่นไปตามแนวโน้มของตลาด
ความลับข้อแรกที่ทำให้โอกาสขาดทุนแบบบักโกรกจนต้องตายจากไปจากตลาดหุ้นของพวกผมนั้นน่าจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อยก็คือ ผมเล่นหุ้นตามแนวโน้มใหญ่ที่เกิดขึ้นของตลาดครับ
แล้วมันจะช่วยอะไรผมได้อย่างนั้นหรือ?
คำตอบก็เพราะปรากฎการณ์ “แนวโน้มราคา” ของตลาดหรือหุ้นนั้น เป็นปรากฎการณ์ความไร้ประสิทธิภาพของตลาดหุ้น (Market Anomaly) ซึ่งเกิดขึ้นจากพฤติกรรมและ “สันดาน” ที่ยากจะเปลี่ยนแปลงของนักลงทุนในตลาดอย่างเราๆทั้งหลาย ที่มีมาอย่างยาวนานและกว้างขวางในตลาดหุ้นหรือแม้แต่ตลาดสินทรัพย์อื่นๆทั่วโลกนั้่นเอง ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ช่วยให้นักลงทุนและกองทุนชื่อดังหลายๆคนสามารถที่จะทำกำไรเอาชนะตลาดจนร่ำรวยมหาศาลมาได้นักต่อนัก และโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยนั้น ปรากฎการณ์เหล่านี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะจบลงหรือหมดประสิทธิภาพไปอย่างง่ายๆเลย โดยที่คุณจะสังเกตุได้จากกราฟ Rolling CAGR ของระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นผลตอบแทนทบต้นตามช่วงเวลาในการคำนวณย้อนหลังจุดละ 36 เดือนหรือ 3 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันยังคงมีความเสถียรและเอาชนะดัชนี SET Index ได้อยู่ในระยะยาว
แน่นอนครับว่าแม้ในอนาคตจะไม่มีอะไรแน่นอน และปรากฎการณ์เหล่านี้ก็อาจจะลดพลังของมันลงหรือหายไปก็เป็นได้ แต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้นั้นจากงานวิจัยต่างๆหลายๆชิ้น มันก็ยังถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์รูปแบบหนึ่งที่มีความเสถียร (Robust Anomaly) และมีประสิทธิภาพในการทำกำไรชนิดหนึ่งของโลกใบนี้เลยก็ว่าได้
Cumulative Return Chart
ภาพที่ 1 : ภาพกราฟ Cummulative Return แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนสะสมของระบบ Trend Following ธรรมดาๆรูปแบบหนึ่งซึ่งอาศัยการทำกำไรจากแนวโน้มขนาดใหญ่ในตลาด เปรียบเทียบกับดัชนี SET Index ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเล่นหุ้นตามแนวโน้มในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยที่ภายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น จากการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) ด้วยการกำหนดเงื่อนไขอย่างเข้มงวดในระดับหนึ่ง มันได้สร้างการผลกำไรสะสมราว 25.46 เท่าเมื่อเทียบกับดัชนี SET Index ที่ 1.2 เท่า และให้ผลตอบแทนทบต้นหรือ CAGR ที่ราว 40% ต่อปี ในขณะที่ SET Index มี CAGR อยู่ที่ราว 9% เท่านั้น
Mangmao ATH Rolling CAGR
ภาพที่ 2 : ภาพกราฟ Rolling CAGR ของระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความเสถียรของระบบการลงทุนในลักษณะนี้ โดยที่ค่าที่แสดงให้เห็นนี้เป็นค่า CAGR คำนวณย้อนหลัง 3 ปีในแต่ละจุดของเวลาเปรียบเทียบระหว่างระบบ Trend Following รูปแบบหนึ่งกับดัชนี SET Index ภายในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ ค.ศ. 2005-2014
การตัดขาดทุนและถอยเพื่อรอโอกาส
การตัดขาดทุน (Cut Losses) คือกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มตายยากยิ่งขึ้น สาเหตุก็เพราะว่าพวกมันนั้นทำหน้าที่เสมือนกับ Safe-T-Cut ช่วยตัดโอกาสที่เราจะเจอกับการขาดทุนอย่างหนักจนทำให้พอร์ทโฟลิโอโดยรวมนั้น “ฟกช้ำดำเขียว” จนเน่าเฟะและยากต่อการที่จะสามารถทำกำไรกลับมาเท่าทุนได้ นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่หลายๆคนไม่เคยรู้เลยก็คือ สัญญาณการขายหรือ Exit Signal ที่เกิดขึ้นจากกลยุทธ์แบบ Trend Following นั้น มักที่จะค่อยๆทยอยเกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นโดยรวมจะเกิดการดำดิ่งลงไปอย่างนักเสียด้วย! นั่นจึงทำให้นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following ที่มีวินัยส่วนใหญ่นั้นสามารถที่จะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราจของตลาดหุ้น โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจปัจจัยอื่นๆเลยนอกจากแนวโน้มของราคาหุ้นในขณะนั้น
SET All Stocks Trend
ภาพที่ 3 : ภาพกราฟ SET Index VS. Bullish Stock Composite แสดงสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในแต่ละวัน โดยที่มันได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อตลาดหรือ SET Index เริ่มย่ำแย่ลง หุ้นต่างๆในตลาดจะเริ่มมีสัญญาณขายออกมาจนทำให้แนวโน้มของหุ้นที่เป็นขาขึ้นในขณะนั้นลดลงไปเรื่อยๆโดยอัตโนมัติ ในขณะที่สัญญาณซื้อจะค่อยๆเกิดขึ้นเมื่อตลาดกลับมาดีอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้สัดส่วนของจำนวนขึ้นที่เป็นขาขึ้นนั้นสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
SET VS Margin
ภาพที่ 4 : กราฟ SET Index VS. %Margin ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนมูลค่าเงินลงทุน ของพอร์ทโฟลิโอในแต่ละช่วงเวลา โดยเราจะสังเกตได้ว่าเมื่อตลาดเป็นย่ำแย่นั้น สัดส่วน %Margin ลดลงโดยอันโนมัติ ในขณะที่เมื่อตลาดค่อยๆดีขึ้น %Margin ก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติเช่นกันจากสัญญาณที่เกิดขึ้นจากระบบ
การเล่นแบบเป็น “เข่ง”
ความลับที่ไม่ลับอีกอย่างของกลยุทธ์ Trend Following ที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือการเล่นแบบเป็นเข่งหรือ Portfolio Trading ครับ เนื่องจากว่ากลยุทธ์การทำกำไรตามแนวโน้มนั้น ชื่อก็บอกว่าอยู่แล้วว่าเป็นการทำกำไรตามแนวโน้ม ดังนั้นถ้าหุ้นไม่มีแนวโน้มขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันมันก็ไม่มีทางกำไร และแนวโน้มใหญ่ๆที่ว่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นไม่กี่ครั้งในหุ้นแต่ละตัวเท่านั้น (หุ้นตัวหนึ่งๆอาจมีแนวโน้มใหญ่ๆแบบ Super Trend เพียง 2-3 รอบของชีวิตเท่านั้น)
นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงหาทางออกด้วยวิธีการง่ายๆอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเฝ้ามองหุ้นเป็นตะกร้าคราวละหลายๆตัวแทนที่จะเป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัว และค่อยๆทยอยเข้าซื้อขายหุ้นคราวละน้อยๆแทน โดยมีเหตุผลเพื่อที่จะทำให้เราสามารถเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้อยู่เสมอ และไม่พลาดโอกาสในการเข้าทำกำไรไป
ด้วยความประจวบเหมาะตรงนี้เองที่ทำให้พอร์ทโฟลิโอของนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงมีลักษณะของการกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นหลายๆตัวโดยอัตโนมัติ จนทำให้ความเสี่ยงรายตัวของหุ้นที่ถืออยู่ลดลง คงเหลืออยู่แต่ความเสี่ยงของตลาดหรือ Market Risk ที่มักจะเป็นตัวกดดันให้หุ้นส่วนใหญ่วิ่งไปพร้อมๆกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากตลาดหรือ Market Risk ตรงนี้ก็จะถูกบรรเทาลงไปได้ด้วยการใช้กลไกของการ Stop Loss ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดไม่เป็นใจนั่นเองครับ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว สำหรับนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มที่มีพอรท์การลงทุนที่ใหญ่และกว้างขวางสามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์หลายๆอย่างก็ยิ่งจะได้รับผลประโยชน์จากการเล่นแบบเป็น “เข่ง” ในข้อนี้ยิ่งขึ้นไปอีก จนทำให้กองทุน Hedge Fund ประเภท Commodity Trading Advisor (CTA) ชื่อดังหลายๆกองทุนได้แจ้งเกิดในเวทีโลกกันอย่างมากมาย
SET Indrustries Cumulative Returns 2011-2014
ภาพที่ 5 : ภาพกราฟ Industries Cummulative Returns ซึ่งช่วยแยกผลกำไรที่เกิดจากระบบ Trend Following ออกเป็นรายอุตสาหกรรม ทำให้เราได้เห็นว่าการมีหุ้นที่เป็น Watchlist และกระจายน้ำหนักการลงทุนไปในหลายๆอุตสาหกรรมนั้นจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากหุ้นในอุตสาหกรรมหลายๆกลุ่มอาจไม่ได้วิ่งขึ้นลงพร้อมๆกัน การมีตะกร้าหุ้นที่กว้างขวางจะช่วยเปิดโอกาสให้เราสามารถทำกำไรได้บ่อยครั้งและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
Note : ค่ากราฟไม่ได้เริ่มต้นจาก 0 เนื่องจากผมได้ทำการ Backtest เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 – ปัจจุบัน
การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
นอกจากที่กลยุทธ์การลงทุนตามแนวโน้มแบบ Trend Following จะช่วยทำให้เราไม่ตกรถในตลาดขาขึ้น และติดดอยในตลาดขาลงแล้วนั้น เป็นที่รู้กันดีว่ากลยุทธ์แบบ Trend Following นั้นมักที่จะให้สัญญาณการซื้อที่มีความแม่นยำค่อนข้างต่ำ (แต่ก็ช่วยชนะตลาดได้นะ 55) ดังนั้นองค์ประกอบที่สำคัญมากๆอีกอย่างหนึ่งของพวกมันก็คือการจัดการความเสี่ยงผ่านการกำหนดขนาดหรือเม็ดเงินในการลงทุนให้เหมาะสมในการซื้อขายแต่ละครั้งอยู่เสมอ (Money-Risk Management) นั่นจึงทำให้เรามักไม่เกิดการขาดทุนอย่างหนักขึ้นในการซื้อขายแต่ละครั้ง ดังนั้นเมื่อเวลาที่ตลาดเป็นขาลงหรือตลาดที่ผันผวนมากๆมาถึงแบบไม่รู้ตัวนั้น นักเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following จึงมักที่จะรอดตายได้อย่างปาฎิหารย์แบบไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้
Drawdown 2007-2008
ภาพที่ 6  : ภาพกราฟ Drawdown แสดงให้เห็นถึงอัตราการขาดทุนสะสมของระบบ Trend Following จากจุดสูงสุดในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี ค.ศ 2007-2008 (สีเขียว) เปรียบเทียบกับ Drawdown ของดัชนี SET Index ในขณะนั้น (สีดำ) ซึ่งทำให้เห็นว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following สามารถที่จะช่วยให้เราเอาตัวรอดไม่เจ็บตัวอย่างหนักได้เป็นอย่างดี
Drawdown 2014
ภาพที่ 7 : ภาพกราฟ Drawdown ของระบบเปรียบเทียบกับดัชนี SET Index ในปีล่าสุด ค.ศ. 2014 ที่พึ่งจะเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นดำดิ่งและเหวี่ยงอย่างรุนแรงในวันที่ 15-12-2014 ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลยุทธ์การเล่นหุ้นตามแนวโน้มแบบ Trend Following ก็ยังคงสามารถที่จะเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมนักเล่นหุ้นตามแนวโน้มหลายๆคนถึงยังขาดทุนจนเจ๊งล่ะ?
ก่อนจะจบบทความนี้นั้น ผมเองก็อยากจะพูดถึงคำถามที่มักจะถูกถามหลังจากที่ผมอธิบายสิ่งเหล่านี้จนจบไปเรียบร้อยแล้วอีกสักนิด โดยที่คำตอบของผมนั้นก็คงจะเหมือนกับการที่คุณถามว่า “ทำไมหลายๆคนที่เรียนบริหารธุรกิจ จึงยังทำธุรกิจจนเจ๊งขาดทุน” นั่นแหละครับ
มันยังคงมีองค์ประกอบอื่นๆในการลงทุนอีกมากมายนอกเหนือจากกลยุทธ์หรือระบบการลงทุนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นความอดทนมุ่งมั่น, ความรู้ความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์นั้นๆ, ทัศนคติในการลงทุน, วินัยในการลงทุนต่างๆ, EQ-IQ รวมไปถึงข้อจำกัดในการลงทุนของแต่ละคน หรือแม้แต่คำว่า “ดวง” อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จะส่งผลกระทบอย่างยิ่งยวดต่อผลการลงทุนแทบทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วมันจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีทั้งคนที่ยังขาดทุนจนย่อยยับ จนไล่ไปถึงคนที่สามารถจะดำรงชีพอยู่ด้วยการลงทุนในตลาดนั่นเอง
และนี่ก็คือทั้งหมดของบทความนี้ครับ ซึ่งผมหวังว่ามันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดคนที่สามารถจะลงทุนด้วยกลยุทธ์การลงทุนตามแนวโน้มอย่างมีวินัย จึงมีโอกาสที่จะขาดทุนอย่างย่อยยับค่อนข้างน้อย แม้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับสภาพตลาดที่ผันผวนสักเท่าไรนั่นเองครับ ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคน แล้วเจอกันใหม่ครับผม

รีวิว IQ Binary Option เล่นเป็นอาจรวย! โบรกที่ดังที่สุดตอนนี้หากคุณชอบ Option

IQ Option เป็น Broker ที่โด่งดัง และมีหลายคนกำลังถามคำถามนี้ใน Pantip เพื่อหาข้อมูลในการเล่น option trading และหลายคนยังสงสัยว่า IQ option เป็นพวกหลอกลวง หรือ Scam หรือไม่? วันนี้เราจะมารีวิวให้ดูกันเลยว่าการเปิด port ที่ IQ option นั้นนอกจากจะง่ายแล้ว ยังเป็น Option Trading Platform ที่ดูดีที่สุด เร็วที่สุด มีคนใช้ app เยอะที่สุดและที่สำคัญปลอดภัยในการลงทุนอีกด้วย เพื่อให้คนไทยได้ทดลองลงทุนกับ Binary Option ต่างประเทศ
iqoption strategy

เริ่มต้นที่ อะไรคือ Binary Options?

Binary Options จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับ Option Trading ธรรมดา การเทรด Option นั้นเป็นการเทรดแบบ Put, Call โดยมี Strike Price ให้เลือกหลายราคา เช่นยิ่งซื้อ Strike Price ห่างจาก ATM ก็ยิ่งราคาถูก (ก็คือการซื้อ OTM) ซึ่ง Option ธรรมดาๆ จะสามารถเลือกเดือนและปีได้. แต่ Binary Option จะเป็นลักษณะการเก็งว่าราคาจะขึ้นหรือจะลง ไม่ว่าจะเป็น Index, commodity, หุ้นต่างๆ เช่น Amazon Facebook ฯลฯ หากคิดว่าจะขึ้นก็ซื้อ Call และในทางกลับกันหากคิดว่าจะลงให้ซื้อ Put โดยมีระยะสัญญาที่สั้นที่สุดนับเป็นนาทีเลยทีเดียว

IQ Option ก็คือ Binary Option

IQ Option มีต้นกำเนิดมาจากประเทศ Russia และเริ่มโด่งดังขึ้นในปี 2013 จนถึงปัจจุบัน และขณะนี้มีนักลงทุนใช้งาน IQ option ในอเมริกา จีน และ สิงคโปร์ใกล้ๆ ประเทศไทย ซึ่งเนื่องจากมี Binary Option Broker หลายเจ้า และบางเจ้าเป็น Scam หรือ พวกหลอกลวง ทาง IQ Option จึงพยายามลงโฆษณาในทีมรถแข่ง Formula 1 และออกสื่อต่างๆเพื่อให้นักลงทุนเห็นว่าทางบริษัทเป็นบริษัทที่ขาวสะอาดจริงๆ IQ Option มีจุดเด่นในเรื่องของ application และการสมัครที่รวดเร็ว พร้อมทั้ง Bonus เพิ่มเติมในการเล่นที่จะทำให้เล่นได้เยอะขึ้น และ ลดความเสี่ยงลง
iq option tactics
ในปีนี้ IQ Option ได้รับการขนานนามว่า เป็น Trading Platform ที่รวดเร็วที่สุด มีชื่อเสียงที่สุดและใช้งานได้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น Broker ที่เปิดให้เล่น Option ผ่านทาง application ใน iPad หรือ Android Tablet และมีผู้ใช้งานเยอะที่สุดในโลกเลยทีเดียว โดย platform ของเค้านั้นปลอดภัย ปราศจากการ Hack ซึ่งมีเครื่องมือ Trade Analysis ให้ใช้เยอะมากเลยทีเดียว เช่นการตีกราฟ Fibonacci ดู MACD, RSI และ เครื่องมืออื่นๆที่ Investor แต่ละคนสามารถเช็คใช้งานได้

เมื่อกำไร สามารถถอนได้ตลอดเวลา : Payment Option

iq option payment option
การถอนเงินจาก IQ Option ก็สามารถทำได้สะดวกและรวดเร็ว เงินจะถึงบัญชี Investor ภายในเวลา 2-5 วันทำการ โดยสามารถโอนเงินเข้า บัตรเครดิต หรือ บัตรเดบิต ก็ได้ โดยการผ่าน Bank Transfer ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็มีให้เลือกไม่มากนัก แต่ก็เป็น Standard method หรือ เป็นอะไรที่คนนิยมใช้กัน

การฝากเงินเข้า IQ option account

การฝากเงินเข้าเพื่อเริ่มต้นลงทุนก็ง่ายเช่นเดียวกัน คือหลังจากได้ทำการเปิดบัญชีแล้ว นักลงทุนสามารถ Deposit เงินได้เลยทันทีผ่านการใช้บัตรเครดิต เช่น VISA, MasterCard และ E-wallet สำหรับคนไทยแล้วการใช้ บัตรเครดิต VISA, MASTERCARD จะเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด และรวดเร็วที่สุด แต่ต้องระวังให้ดูค่าเงินที่ผันผวนด้วย
IQ Option Bonus Code
using iq option bonus code
IQ Option ยังมอบโอกาสให้กับลูกค้าที่เป็นนักลงทุน ที่ไม่มั่นใจในการเริ่มต้นลงทุนกับ IQ Option โดยที่จะเพิ่มมูลค่าเงิน Deposit ให้กับบัญชีของแต่ละคน ซึ่งต้องมี IQ Bonus Code สำหรับเพิ่มวงเงินโดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น เมื่อนักลงทุนชาวไทยต้องการทดลองเล่น Binary Option โดยการฝากเงินจำนวน $100 (ประมาณ 3,000 บาท) เมื่อมี Bonus Code ที่ถูกต้องจะสามารถเริ่มเล่นได้ด้วยเงินมูลค่า $200 คือเท่าตัวไปเลยทีเดียว

มือใหม่เล่นหุ้น อยากทำงานกลัวขาดทุน เล่นโบรกเกอร์นี้เลย

Sem-título

การสมัครเล่นหุ้นกับโบรคเกอร์ที่มีภาษาไทยมีระบบทดลองเล่น โปรแกรมฉลาดวิเคราะห์ช้วยเราทุกด้าน
การเล่นหุ้นนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่หลายๆคนต้องการทำได้ แต่ว่าอุปสรรคหลายๆอย่างเช่น การสอบถามผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์เขาล้วนมีคำตอบกันหมดทุกคนว่ายาก ว่ามีโอกาสขาดทุนสูงมาก แต่ใครละจะรู้ว่าคำพูดหล่าวนั้นทำให้เราหมดโอกาสในการลงทุนถ้าหากเราไม่ลองลงเล่นเอง
เดียวนี้การเล่นหุ้นนั้นถ้าหากหาโบรคเกอร์ดีๆนั้น จะเป็นสิ่งที่เริ่มต้นง่ายมากๆ อับดับแรกเลยที่เราต้องใส่ใจ คือ โบรคเกอร์ที่สามารถซัฟพอร์ตให้เราได้เกี่ยวกับอุปกรณ์ Treader หรือโปรแกรมที่ใช่เล่นหุ้นนั้นเอง บ้างค่ายสามารถใช่ในคอมได้ แต่ใน OSX IPhone ใช่ไม่ได้ วันนี้เรามีแนะนำสุดยอดโยรคเกอร์ทำเงิน และ มีโปรแกรมเทรดเดอร์ซัฟพอร์ตเราทุกค่ายเลยดีกว่าครับผม
IQ OPTION คือโบรคเกอร์ตัวใหญ่ในวงการนี้ซึ่งมีโปรแกรมจำลอง เงินทดลองเล่นหุ้นซึ่งเหมือนจริงมาก เหมาะสำหรับให้มือใหม่หัดลอง หรือว่าถ้าเริ่มที่จะเล่นได้แล้วต้องการเล่นแบบเงินจริง ก็จะมีขั้นต่ำแค่ 300 บาท ซึ่งเหมาะมากๆที่จะดูว่าเราเล่นเป็นจริงหรือไม่ จึงไม่ต้องเสี่ยงขาดทุน
Screen Shot 2558-07-24 at 11.41.52 AM
ซึ่ง IQ OPTION นั้นจะมีโปรแกรมคำนวนค่าต่างๆคิดวิเคราะห์ให้เราว่าเราควรลงตอนไหน แนะนำหุ้นที่ดี และคำนวนค่าเงินให้เราแบบ RealTime ว่าถ้า Put – Call แล้วจะได้เงิน เสียเงินเท่าไหร่
การจ่ายเงินหรือถอนเงินก็ง่ายๆ เพียงใช่บัญชีธนาคารที่เรามีอยู่ เช่น Visa , Master Card หรืออื่นๆ หลายช่องทาง ซึ่งสะดวกสบายต่อการเปิดบัญชีมากๆ ไม่ยุ่งยาก เพียงไม่กี่วิธีก็เริ่มเทรดน์หุ้นได้เลย ทำเหมือนเราเป็นมือโปรเลยที่เดียว ซึ่งโปรแกรมมันฉลาดอยู่แล้วยึ่งมีโปรแกรมมดีช้วยเรา การทำกำไล หรือ ขาดทุน ก็ย่อมมีโอกาส Control  เองได้แล้ว
ข้อดีที่มือใหม่อยากเล่นหุ้นให้ได้กำไรควรเล่นกับ โบรคเกอร์นี้คือ
  • บัญชีการสาธิตฟรี – ลงทะเบียนไม่
  • กำไร 92% ใน 60 วินาทีซื้อขาย (โปรดเปรียบเทียบ iqoption กับคนอื่น ๆ )
  • เงินฝากที่ต่ำมาก
  • การทำธุรกรรมต่ำสุดคือ $ 1 เท่านั้น
  • ระบบการศึกษา โต้ตอบ
  • iqoption จะให้ตลาด 24/7
  • เงินฝากง่ายและรวดเร็วมากและถอนเงิน
  • เงื่อนไขที่ดีที่สุดในตลาด
  • การแข่งขันฟรีกับรางวัลที่น่าสนใจ
  • ใบอนุญาตและการรักษาความปลอดภัยของกฎระเบียบของสหภาพยุโรป
  • มากกว่า 70 โอกาสในการลงทุน (คู่สกุลเงิน, ดัชนีหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์) – Google, Facebook, Microsoft, BP, DAX, บาร์เคลย์, ทอง, เงิน, อาลีบาบา, ดัชนี FTSE, Amazon และอื่น ๆ อีกมากมาย …
IQOption สร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ลูกค้าทั้งหมดเป็นประสบการณ์ที่ง่ายและสนุก ไม่ว่าถ้าคุณเป็นเพียงการเริ่มต้นการลงทุนหรือคุณเป็นมืออาชีพ การแก้ปัญหานี้ให้คุณขอบ

องค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับ SYSTEM TRADER และการลงทุนอย่างเป็นระบบ

“อยากลงทุนอย่างเป็นระบบ ควรต้องรู้อะไรบ้าง?” วันนี้ผมจะเขียนแชร์ให้เห็นถึงภาพกว้างๆขององค์ความรู้พื้นฐานที่ผมคิดว่าจำเป็นจะต้องมีเพื่อที่จะสร้าง, ทดสอบ และนำระบบการลงทุนไปปรับใช้กันได้อย่างมีประสิทธิภาพกันนะครับ

องค์ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการลงทุนอย่างเป็นระบบ

quote-Benjamin-Franklin-an-investment-in-knowledge-pays-the-best-100399
ก่อนอื่นผมคงต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่า สำหรับในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงเฉพาะองค์ความรู้เบื้องต้นที่ผมคิดว่าสำคัญกับนักลงทุนในระดับรายย่อยหรือรายบุคคล โดยผมพิจารณากลั่นกรองเอาจากประโยชน์ใช้สอย และจากความถี่ที่ต้องนึกถึงหรือนำเอาความรู้เหล่านี้มาใช้บ่อยๆอยู่เป็นประจำในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งก็ประกอบไปด้วยองค์ความรู้พื้นฐานหลักๆ 5 อย่าง และนั่นก็คือ
  1. ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ (Algebra and English)
  2. ความรู้พื้นฐานทางด้านการลงทุน (Investing-Trading and Markets Knowledge)
  3. ความรู้พื้นฐานทางด้านการใช้และเขียนโปรแกรม (Computer and Programing)
  4. ความรู้พื้นฐานทางด้านการออกแบบและทดสอบระบบการลงทุน (System Design and Backtesting)
  5. ความรู้พื้นฐานทางด้านวิชาสถิติศาสตร์ (Statistics)
ผมจะค่อยๆเล่าถึงเหตุผลและความจำเป็นไปทีละข้อนะครับ อย่างไรก็ตาม ขอย้ำก่อนว่าลำดับหัวข้อที่ผมเขียนนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงลำดับความสำคัญเท่าไหร่นัก เพราะผมคิดว่าทุกอย่างเกื้อหนุนกันหมด ว่าแล้วเราก็เริ่มกันเลยดีกว่าครับ!
ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ (General-Basic Knowledge)
maths and science formula on whiteboardจำนวนและตัวเลขคือภาษาของ System Trader เนื่องจากเป้าหมายและหัวใจของการลงทุนด้วยระบบการลงทุนนั้นก็คือความพยายามที่จะตัดเอาอารมณ์ความรู้สึก และทำการตัดสินใจต่างๆด้วยข้อมูลตัวเลขซึ่งมีความเป็นรูปธรรม ความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการที่จะทำความเข้าใจต่อองค์ความรู้ในระดับต่างๆที่สูงขึ้นไปเป็นขั้นๆ
ในที่นี้ผมไม่ได้บอกว่าคุณจะต้องได้เกรด A วิชา Calculus หรืออะไรขนาดนั้นนะครับ แต่อย่างน้อยที่สุดแล้วผมคิดว่าความรู้เกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์แบบพีชคณิตในระดับชั้น ม.ปลาย (Algebra) ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นและควรจะต้องจำกันได้อยู่พอสมควร ดังนั้นถ้าใครคืนอาจารย์ไปหมดแล้วผมคงต้องแนะนำว่าให้รีบกลับไปทบทวนกันเสียก่อนเป็นอันดับแรกเลย ไม่เช่นนั้นจะติดปัญหาเวลาอ่านหนังสือที่อธิบายสิ่งต่างๆมาเป็นตัวเลขเป็นสมการให้เราดูครับ
ลำดับต่อมาก็คือความรู้ด้านภาษาอังกฤษ! ความรู้ภาษาอังกฤษมันสำคัญอย่างไรน่ะหรือครับ!? คำตอบก็คือมันเป็นสะพานเชื่อมเราไปสู่โลกใบใหญ่ที่กว้างกว่าและล้ำลึกกว่านั่นเอง เพราะสำหรับในเรื่องของการลงทุนและการเก็งกำไรนั้น ตลาดหุ้นไทยพึ่งจะเกิดมาได้ราว 20 – 30 ปีเท่านั้นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของฝรั่งซึ่งเกิดมาเป็น 100 ปีแล้ว (การลงทุนโดยอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณและหลักการทางสถิติเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงยุค ค.ศ. 1930 ส่วน Systematic Trading เริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายกันมาตั้งแต่ยุค ค.ศ. 1970 ลองนึกดูเล่นๆกันนะครับว่าทุกวันนี้ระยะห่างของเรากับเขาจะต่างกันสักกี่ปี?)
ดังนั้นแล้วองค์ความรู้ต่างๆในการของพวกเราในหลายๆด้านจึงยังเทียบไม่ได้เลยกับความรู้ที่ถูกค้นพบและถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากประเทศที่เขาเป็นต้นตำหรับในเรื่องเหล่านี้ ภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการขวนขวายหาความรู้ของพวกเรา มันคือสิ่งที่จะช่วยร่นระยะเวลาและนำพาไปสู่ความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่ลึกและกว้างใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังทำให้เราเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการในการลงทุนในปัจจุบันรวมถึงอนาคตอีกด้วย
Note : อย่าให้ใครมาอ้างได้เลยนะครับว่าความรู้จากเมืองนอกเมืองนามันใช้กับตลาดไทยไม่ได้และอาจล้าสมัยไปแล้ว ช่วงแรกๆที่หาความรู้ในการลงทุนผมเคยเจอประโยคนี้บ่อยมาก แต่มาถึงทุกวันนี้แล้วผมคิดว่าคำกล่าวอ้างแบบนี้มักเกิดจากการที่ไม่สามารถจะตีความเอาแก่นและหัวใจของวิชาความรู้ออกมาปรับใช้ได้เองมากกว่า อย่างที่บัฟเฟตเคยพูดไว้นั่นแหละครับว่า “หลักการไม่มีวันล้าสมัย และถ้ามันล้าสมัยได้มันก็ไม่ใช่หลักการแล้ว!”
ความรู้พื้นฐานในการลงทุน และความเข้าใจต่อกลไกของตลาด (Investing-Trading Knowledge)
all_books_470x289
ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนคือเชื้อเพลิงและหัวใจหลักของการสร้างระบบการลงทุน นั่นก็เพราะนอกจะพวกมันจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราแล้ว พวกมันยังเปรียบได้กับเข็มทิศนำทางให้เราในการออกแบบปรับปรุงระบบของเราด้วย องค์ความรู้ชนิดนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง, Mindset, และความคาดหวังในการลงทุนของเราเอาไว้ ซึ่งหากว่าเรามีความคิดอ่านที่ผิดทางหรือหลุดจากโลกของความเป็นจริงไป มันก็จะทำให้การพัฒนาและปรับใช้ระบบการลงทุนของเราหยุดอยู่กับที่หรือย่ำแย่ตามไปด้วย
สิ่งที่ผมอยากพูดถึงคือแนวคิดในการสร้างระบบนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากแหล่งหรือสาขาวิชาเดียวในการลงทุน จงอย่ายึดมั่นถือมั่นกับรูปแบบการลงทุนในสไตล์ใดสไตล์หนึ่งมากเกินไปจนมองข้ามประโยชน์หรือจุดเด่นของสไตล์อื่นๆ เพราะในที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นความรู้ความเข้าใจทางด้าน เศรษฐศาสตร์ (Economics), การเงิน (Finance), ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis), ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis), การจัดสรรเงินทุน (Asset Allocation), การบริหารความเสี่ยงและหน้าตัก (Risk & Money Management) และอื่นๆอีกมากมาย (ที่ผมคงร่ายไม่หมด Open-mouthed smile) พวกมันล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน และยังอาจเป็นตัวช่วยบอกใบ้ให้เราสามารถคลำทางหาจิ้กซอว์ตัวต่อไปของรูปภาพกลไกตลาดได้อย่างคาดไม่ถึงในหลายๆครั้งเลยทีเดียว
ข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ในปัจจุบันองค์ความรู้ชนิดนี้ค่อนข้างจะเป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง เราสามารถที่จะหาเรียนหรือหาซื้อหนังสืออ่านกันได้ไม่ยากสักเท่าไหร่นัก (แม้ว่าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหนังสือภาษาไทยอาจจะไม่ได้มีเนื้อให้ในเชิงลึกสักเท่าไหร่ แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดออกไปศึกษาหาความรู้ต่อได้ในระดับหนึ่ง) ดังนั้นแล้วองค์ความรู้ในข้อนี้ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่ปัญหาของนักลงทุนหลายๆคนสักเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องอ่านแล้วไตร่ตรองกรองดูให้ดี อย่าเชื่อเพียงเพราะคนเขียนดัง อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเขียนโดยอ้างถึงกูรู อย่างเชื่อเพียงเพราะคนอื่นๆเชื่อ
อย่างไรก็ตามการเปิดใจให้กว้างและพยายามกักตุนความรู้เหล่านี้เอาไว้จากหลายๆสาขาอยู่อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจำเป็น เพราะจากประสบการณ์ของผมแล้วในหลายๆครั้แล้วง สิ่งที่เราไม่คาดคิดหรืออาจเพียงแต่จำได้แค่ลางๆก็มักที่จะกลายเป็นบันไดเชื่อมต่อให้เราค้นพบในสิ่งต่างๆที่ช่วยพัฒนาระบบการลงทุนของเราได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวครับ
ความรู้พื้นฐานด้านการใช้โปรแกรมและเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Computer and Programming Knowledge)
sample
ขึ้นชื่อว่า Systematic Trader ถ้าขาดความรู้ในข้อนี้ไปก็คงจะกระไรอยู่จริงไหมครับ!? แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการเขียนโปรแกรม (Programing) เรื่องนี้มักจะทำให้หลายๆคนกุมขมับเพราะคิดว่ามันจะต้องเป็นงานที่ยุ่งยากซับซ้อนใช้สมองและความเป็นอัจฉริยะเหมือนกับในหนังภาพยนต์หลายๆเรื่อง อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์จริงๆของผมในการเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างระบบการลงทุนมามันไม่ได้โหดร้ายเสียขนาดนั้นหรอกครับ
คุณไม่จำเป็นต้องเก่งขั้นเทพระดับ Hacker มือโปรเพื่อที่จะออกแบบหรือทดสอบแนวคิดต่างๆในการลงทุนด้วยตัวคุณเองเลย! อันที่จริงแล้วนักลงทุนรายย่อย Individual Systematic Trader อย่างเราเพียงแค่ต้องเข้าใจหลักการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ในเบื้องต้น-ปานกลางก็นับว่าเพียงพอแล้ว เนื่องจากในทุกวันนี้มีโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการทดสอบระบบการลงทุนของเราอย่างมากมายให้เลือกใช้
คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นทุกอย่างจากศูยน์ด้วยการสร้าง Backtesting Platform ในการทดสอบและวิจัยระบบของคุณเองขนาดนั้น เรื่องตลกก็คือถ้าคุณพยายามที่จะทำเช่นนั้นเพื่อให้ได้โปรแกรม Backtesting ที่มีคุณภาพในระดับที่วางขายกันด้วยทีมหรือตัวคุณเองคนเดียวล่ะก็ ผมคิดว่าคุณอาจจะไม่ได้มีเวลาเหลือเพียงพอที่จะทำการทดสอบในสิ่งต่างๆที่คุณสงสัยเกี่ยวกับตลาดกันสักเท่าไหร่เลยล่ะครับ Open-mouthed smile
ทีนี้เมื่อพูดถึงประโยชน์ในการที่เราจะสามารถเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ได้นั้นล่ะก็ ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงพอนึกออกว่ามันจะช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับเราได้อย่างมากแค่ไหน งานต่างๆที่คุณต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันด้วยการทำมืออาจเสร็จลงได้ด้วยการพิมพ์ Code ไม่กี่ประโยคไม่กี่บรรทัดลงไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างมากกับพัฒนาการในการเป็น Systematic Trader ก็คือเรื่องของการได้ฝึกฝนตรรกะความคิดที่เป็นระบบขั้นตอนครับ
การเขียนโปรแกรมนั้นจะทำให้คุณได้ฝึกฝนการวางลำดับความคิดให้เป็นระบบได้เป็นอย่างดีมากๆ เนื่องจากอันที่จริงแล้วหัวใจในการที่เราจะเขียนโปรแกรมขึ้นมาสักอย่างก็เพื่อที่จะสื่อสารกับคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาหรือทำงานต่างๆที่เราต้องการที่จะทำ (แต่ไม่อยากทำเองทุกขั้นตอน) ออกมา ดังนั้นแล้วการเขียนโปรแกรมจึงเป็นศาตร์และศิลป์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆออกมาอย่างเป็นระบบนั่นเอง (Problem Soving)
การเขียนโปรแกรมจะช่วยให้คุณได้ฝึกฝนการวิเคราะห์ปัญหาและวางขั้นตอนในการจัดการกับมันอย่างเป็นรูปธรรม (Algorithm) ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าคอมพิวเตอร์สมองไว (แต่กลวง) ก็จะออกอาการ Error ออกมาเป็นแน่แท้ ซึ่งแน่นอนว่าทักษะในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบขั้นตอนที่คุณได้จากการฝึกเขียนโปรแกรมอยู่เสมอเหล่านี้จะมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการแก้โจทย์ต่างๆของตลาดหุ้น, การลงทุน และในชีวิตจริงๆของคุณเช่นเดียวกัน (โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวเลยก็ได้ … แฝงอยู่แบบ Inner สุดๆ)
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดเพื่อเป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนก็คือ ทุกวันนี้การเรียนรู้การเขียนโปรแกรมไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นเกินไป มีภาษาหลายภาษารวมถึงโปรแกรมซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับการเริ่มต้นเรียนรู้การเขียนโปรแกรม (มีแม้กระทั่งภาษาแบบตัดแปะที่คุณไม่ต้องพิมพ์อะไรเลยเช่น Google Blocky, Scratch หรือแม้แต่เกมใน Ipad) และถึงแม้ว่าคุณจะคิดว่ามีโปรแกรมต่างๆถูกพัฒนาออกมาอย่างมากมายในท้องตลาดจนตาลาย (รวมถึงที่เจ๊งจนขาดทุนหายไป) แต่การเขียนโปรแกรมก็คือการเขียนโปรแกรม แก่นของมันคือการสร้าง Algorithm เพื่อวิเคราะห์และออกแบบกระบวนการในการแก้ไขปัญหาออกมา ดังนั้นแล้วถึงแม้ว่าโปรแกรมและภาษาในการเขียนโปรแกรมต่างๆนั้นจะมีอยู่มากมาย แต่พวกมันก็มักจะมีองค์ประกอบและโครงสร้างของภาษาที่คล้ายกัน โดยอาจจะแตกต่างกันหลักๆแค่เพียงคำศัพท์ที่ใช้ในการสั่งงานคอมพิวเตอร์เท่านั้น (โดยเฉพาะภาษาของโปรแกรมพวก Backtesting Platform) นั่นจึงทำให้หากว่าคุณเขียนโปรแกรมภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นแล้ว คุณก็จะสามารถศึกษาหรือโยกย้ายไปใช้โปรแกรมอื่นๆได้อย่างไม่ยากเย็นนักครับ
ความรู้พื้นฐานในการออกแบบและทดสอบระบบการลงทุน (System Design and Backtesting Knowledge)
AlgoTrader-Strategy_Development_Process
องค์ความรู้ในการออกแบบและทดสอบระบบการลงทุนถือเป็นองค์ความรู้เฉพาะทางที่แยก Systematic Trader ออกจากนักลงทุนและนักเก็งกำไรจำพวกอื่น นอกจากนี้โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าไม่ว่าใครที่ไม่เข้าใจกระบวนการและขั้นตอนในการออกแบบและทดสอบระบบการลงทุนก็ยังไม่ควรที่จะเรียกตนเองว่าเป็นนักออกแบบระบบการลงทุนหรือ Trading System Designer กันสักเท่าไหร่นัก
ผมอยากทำความเข้าใจกันก่อนว่าถึงแม้ว่าแนวคิดการลงทุนด้วยระบบจะเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายกันในปัจจุบัน แต่การลงทุนด้วยระบบการลงทุนนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่จะการันตีถึงความสำเร็จในการลงทุนเสมอไป และอันที่จริงแล้วผลลัพท์ของระบบการลงทุนส่วนใหญ่ที่ถูกเผยแพร่กันออกมาก็มักที่จะตกอยู่ในหลุมพรางบางอย่างในการออกแบบและทดสอบระบบ (Bias) จนทำให้มันดูดีเกินจริงในกระดาษ และดูแย่เกินไปในชีวิตจริงเอาเสียด้วย! (ถ้าไม่นับเรื่องความพยายามในการหลอกลวงขายระบบด้วยผล Backtest ความผิดพลาดในขั้นตอนการออกแบบและทดสอบระบบมักเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ ระบบส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังหรือแย่สุดคือขาดทุนจนเจ๊ง)
ความรู้ความเข้าใจถึงความจำเป็นและประโยชน์ใช้สอยขององค์ประกอบต่างๆในแต่ละส่วนของระบบ เช่น การบริหารพอร์ทและคัดสรรตะกร้าในการลงทุน (Portfolio Management), กลไกเงื่อนไขสัญญาณซื้อขาย (Entry – Exit), การบริหารหน้าตักเงินทุน (Money Management), การบริหารความเสี่ยงระหว่างการลงทุน (Risk Maangement), การจัดการกับคำสั่งซื้อขายรู้แบบต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพตลาด (Order Management) รวมถึงส่วนปลีกย่อยอื่นๆของระบบ พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการออกแบบระบบเป็นอย่างมาก (มีโอกาสผมจะลองเขียนให้อ่านกันอีกทีนะครับ)
นอกจากนี้แล้วขั้นตอนต่างๆในการที่คุณจะทำการทดสอบระบบเพื่อเก็บเอาผลลัพธ์ของการซื้อขาย (Test Sample) ออกมากก็ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบและปรับปรุงความถูกต้องของฐานข้อมูล (Database Management), การตรวจสอบความถูกต้องของการเขียนโปรแกรม (Code Checking), การตั้งค่ารายละเอียดของการทดสอบต่างๆ (Simulation Setting), การทดสอบเบื้องต้น (In-Sample Pre-Testing), การทดสอบความเสถียรของตัวแปรต่างๆที่นำมาใช้ (Parameter Stepping Test or Optimization), การทดสอบความเสถียรของระบบภายใต้ข้อมูลที่ยังไม่ถูกใช้ (Out-of-Sample Testing or Walk Forward Analysis), การประมาณการณ์ผลการลงทุนด้วยการสุ่มเปลี่ยนผลตอบแทน (MonteCarlo Testing) และขั้นตอนเฉพาะทางอื่นๆ ทุกๆขั้นตอนเหล่านี้คือสิ่งที่คุณต้องพยายามหาความรู้และทำความเข้าใจถึงรายละเอียด, ประโยชน์ใช้สอย, จุดดีและจุดด้อยของพวกมันให้ลึกซึ้ง ไม่เช่นนั้นแล้วคุณก็อาจจะตกหลุมพรางหรือ Bias ต่างๆในการออกแบบและทดสอบระบบการลงทุนได้อย่างง่ายมากๆ
ผมอยากเน้นย้ำว่าการที่คุณสามารถใช้โปรแกรมหรือเขียนสูตรต่างๆขึ้นเพื่อทำการทดสอบระบบหรือแนวคิดต่างๆย้อนหลังจนได้ค่าตัวเลขต่างๆออกมาได้นั้น ไม่ได้หมายความหรือเป็นการรับประกันว่าคุณจะทำการ Backtest เป็นหรือทำได้อย่างเหมาะสมจริงๆ ดังนั้นแล้วผมจึงคิดว่าความเข้าใจในองค์ความรู้ข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ชี้เป็นชี้ตายให้กับบรรดา Systematic Trader และนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนด้วยระบบเป็นอย่างมาก
คำแนะนำของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือเราควรพยายามทำความเข้าใจกับองค์ความรู้ชนิดนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยๆเก็บ Know-How ในการออกแบบและทดสอบระบบไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้ข้อมูลที่ได้ออกมานั้นไม่มีความลำเอียงหลอกลวงจนมากเกินไป เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเราในการสร้างระบบนั้นไม่ใช่เพื่อให้เห็นตัวเลขผลกำไรที่สูงที่สุด แต่เพื่อเป็นการสร้างระบบที่ให้ผลลัพธ์ตรงกับเป้าหมายของเรามากที่สุดและมีความเสถียรกับข้อมูลที่ระบบยังไม่เคย (ข้อมูลในอนาคต) มากที่สุดต่างหาก
ความรู้พื้นฐานทางด้านวิชาสถิติศาสตร์ (Statistics Knowledge)
ทำไมต้องใช้วิชาสถิติด้วย!? (แค่นี้ก็ปวดขมองจะแย่!) เหตุผลสั้นๆเลยก็เนื่องมาจากว่า เราต้องการที่จะใช้ระบบการลงทุนกับข้อมูลต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ใช่ข้อมูลในอดีตนั่นเองครับ!
Sample to Population 2
ความสำคัญที่เราจำเป็นต้องใช้วิชาสถิติเข้ามาช่วยก็เพราะตัวเลขต่างๆที่เราได้ออกมาจากผลการทดสอบ Backtest ของเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นผลการซื้อขายหรือผลลัพธ์การเติบโตของเงินทุน พวกมันถือเป็นเพียงแค่กลุ่มตัวอย่าง (Sample) ที่ถูกเก็บข้อมูลออกมาจากข้อมูลบางช่วงในอดีตของตลาดที่เรามีอยู่ และแน่นอนว่าค่า Ratio ต่างๆที่ได้ออกมาก็เป็นเพียงแค่ค่าสถิติเชิงบรรยายเท่านั้น (Descriptive Statistics) ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เพียงพอในการที่จะวิเคราะห์และนำระบบไปใช้ได้ในทันที เพราะสิ่งที่เราต้องการคาดการณ์คือลักษณะภาพรวมของผลการลงทุนที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือพูดง่ายๆก็คือเราไม่ได้ต้องการแค่รู้ค่า Descriptive Statistics แต่เป็น Population Parameter ต่างหาก Informed Systematic Trader จึงพยายามที่จะใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการ Backtest เพื่อคาดการณ์ถึงลักษณะของผลการซื้อขายที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (อันใกล้) ภายใต้ความน่าจะเป็นในระดับหนึ่งๆด้วยวิชาสถิติออกมานั่นเอง
สถิติเชิงอนุมาน (Inference Statistics) คือสิ่งที่จะเข้ามาช่วยเราในเรื่องนี้ วิชาสถิติจะช่วยให้เราสามารถประมาณการณ์ค่าของประชากรในภาพรวมจากกลุ่มตัวอย่างของเรา มันจึงทำให้เราสามารถที่จะคาดการณ์ถึงผลการลงทุน (เดาแบบมีหลักการ) และตัดสินใจถึงสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้จากข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัดภายใต้ความมั่นใจในระดับหนึ่งๆออกมานั่นเอง (ผมคงต้องบอกว่าไม่มีคำว่ามั่นใจ 100% โลกของ Systematic Trading – Backtesting นะครับ)
สำหรับเครื่องมือทางสถิติที่มักถูกนำมาใช้อยู่บ่อยครั้งนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนจนเกินไป ผมพบว่าจากประสบการณ์แล้ว ในเบื้องต้นเครื่องมือที่มักนำมาใช้ก็จะเป็นการทำการหาค่า Descriptive Statistics ต่างๆจากผลการซื้อขายที่มีอยู่ รวมไปถึงการทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) เพื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนของระบบการลงทุนแต่ละระบบว่ามีความแตกต่างกันจริงหรือไม่และมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้แล้วในระดับที่สูงขึ้นนั้น วิขาสถิติยังมีประโยชน์ในการทำวิจัยเกี่ยวกับตลาดในแง่มุมต่างๆอย่างมากอีกด้วย (Statistical & Quantitative Analysis) ซึ่งข้อมูลที่ได้เหล่านี้ก็จะสามารถนำมาปรับปรุงระบบได้อีกทีหนึ่ง แต่สำหรับสำหรับการวิจัยของ Individual Systematic Trader ในเบื้องต้นแบบพวกเราแล้ว เครื่องมือที่ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องลึกล้ำซับซ้อนขนาดนั้นหรอกครับ พวกมันก็มักจะเป็นเครื่องมือต่างๆที่อยู่ในวิชาสถิติพื้นฐานที่พวกเรามักได้เรียนกันในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น สถิติเชิงบรรยาย (Descriptive Statistics), การทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing), การวิเคราห์ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation Testing), การวิเคราะห์ความแปรปรวน (Anova) หรือการวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) นั่นเอง ส่วนใครมีความรู้มากหน่อยจะเล่นท่ายากใช้เครื่องมือล้ำๆแปลกๆเพิ่มเติมจนกลายเป็นพวก Quant หรือ Financial – Rocket Scientist ก็คงจะไม่ว่ากันครับ ^_^

องค์ความรู้สุดท้ายที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง

visual-book-notes-how-to-read-a-book
จริงๆแล้วยังมีองค์ความรู้อีกอย่างหนึ่งที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง เนื่องจากผมก็ไม่แน่ใจว่าจะบัญญัติมันว่าอะไรดี 55 (ใครนึกศัพท์ออกบอกผมด้วยครับ Open-mouthed smile แต่เท่าที่นึกออกน่าจะเป็นองค์ความรู้ประเภท Knowledge Management (KM)) และนั่นก็คือความรู้ในการที่จะหาความรู้และเก็บความรู้ที่ได้มาเหล่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกทีหนึ่ง โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าความรู้ในการที่จะเรียนรู้และจัดเก็บความรู้ต่างๆนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในปัจจุบันไม่ว่าเราจะอยู่ในสาขาอาชีพใดก็ตาม เพราะในขณะนี้ผมคิดว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคของ Big Data ซึ่งมีข้อมูลลอยอยู่มากมายในอากาศจนทะลัก ดังนั้นแล้วปัญหาในวันข้างหน้าจึงอาจจะไม่ใช่การไม่มีแหล่งข้อมูลความรู้ แต่เป็นปัญหาจากขีดความสามารถที่จะเรียนรู้, จัดเก็บ และใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้กันเสียมากกว่า และนี่ก็คือทั้งหมดที่อยากเขียนในบทความนี้ครับ
ก่อนจะจบบทความผมอยากจะทิ้งท้ายด้วยการให้กำลังใจไว้สักหน่อยว่า องค์ความรู้ทั้งหมดเหล่านี้คงไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆทั้งหมดได้ภายในปีเดียวหรือในเวลาอันรวดเร็ว ผมคิดว่าการจะทำความเข้าใจกับมันนั้นต้องค่อยๆเคี้ยวทีละชิ้น กลืนทีละคำ และบ่มเพาะไปเรื่อยๆ อยากบอกว่าส่วนตัวแล้วผมเองก็ไม่ใช่คนที่ตั้งใจเรียนจนเข้าใจและจดจำทุกอย่างได้มาตั้งแต่ตอนเรียนหรอกครับ (ม.ปลาย ผมเรียนสายวิทย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนมากมาย พอเรียนมหาวิทยาลัยผมเปลี่ยนแนวไปเล่นดนตรี ดังนั้นในช่วงเริ่มต้นอย่าเรียกว่าผมคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว ให้เรียกว่ามันแทบไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยจะดีกว่าครับ! 55) ดังนั้นแล้วความพยายาม, ความรักในการลงทุน รวมไปถึงความสนุกที่มีต่อการได้เรียนรู้สิ่งต่างๆในตลาดจึงเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะค่อยเรียนรู้, รื้อฟื้น และต่อจิ้กซอว์เหล่านี้เข้าด้วยกัน
ผมหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และเป็นแผนที่นำทางให้กับทุกๆคนที่อยากจะพัฒนาตนเองสู่ความเป็น Systemtic Trader หรือผู้ที่ต้องการที่จะทำการลงทุนอย่างเป็นระบบกันไม่มากก็น้อยครับ
ปล. ใครมีอะไรอยากช่วยเสริมในองค์ความรู้ต่างๆที่ผมไม่ได้พูดถึงก็ช่วยเสริมกันใน Comment ได้ เผื่อใครเข้ามาอ่านจะได้มีข้อมูลทางเดินต่อไปที่มากขึ้น และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของวงการลงทุนไทยละกันนะครับ เอ้า … เฮ!!


"คำเตือนความเสี่ยง: ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่นำเสนอโดย บริษัท ดำเนินการในระดับสูงของความเสี่ยงและอาจส่งผลในการสูญเสียของเงินทุนทั้งหมดของคุณคุณไม่ควรลงทุนเงินที่คุณไม่สามารถจะสูญเสีย.."

บทความที่ได้รับความนิยม