5 วิธีทำให้รวยเร็ว

5 วิธีทำให้รวยเร็ว
ความฝันหนึ่งของคนที่ทำงานประจำคืออยากมีเงินเก็บเยอะๆ อย่างน้อยควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ทำผิดกฎหมาย วันนี้เราจึงมี 5 วิธีทำให้รวยเร็วมาฝาก
1. เป็นเจ้าของกิจการ ใครๆก็รู้ว่าการเป็นเจ้าของกิจการ ย่อมต้องมีรายได้ดีกว่าทำงานประจำอยู่แล้ว แต่ความยากมันอยู่ตรงที่จะทำธุรกิจอะไร และทำอย่างไรให้ธุรกิจนั้นอยู่รอดและมีกำไรนี่สิเรื่องใหญ่ ซึ่งเรามีคำแนะนำคือ
  - สำรวจดูว่ามีงานอดิเรกหรือความชำนาญอะไรเป็นพิเศษ เช่น ทำขนม ทำอาหาร ความเก่งในสิ่งพวกนี้อาจนำมาสู่การดำเนินธุรกิจขนาดย่อมๆก็ได้
  - มองดูรอบๆ ตัว เช่นในชุมชน มีบริการอะไรบ้างที่คนในชุมชนต้องการ เช่น มีเด็กเล็กๆ ที่พ่อแม่อยากจะได้พี่เลี้ยงมาดูแล เรื่องเหล่านี้สามารถนำมาทำเป็นธุรกิจได้  
  - คำนวณดูว่าถ้าต้องเริ่มทำธุรกิจต้องใช้เงินสักเท่าไหร่
  - ทำธุรกิจต้องคิดด้วยว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้คนอื่นทราบ อาจจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ 
2. เป็นผู้บริหารระดับสูง วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะประสบการณ์ และต้องพบกับการแข่งขันที่สูงมาก เพราะคนทำงานประจำก็เหมือนกับพีระมิด ที่ตรงยอดจะเล็กแต่ฐานใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คุณสามารถทำได้ถ้ามีความพยายามในการพัฒนาตัวเอง ทั้งเรื่องความรู้ บุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ หาความถนัดของตัวเองให้เจอ คุณก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินเดือนสูงๆ ซึ่งผู้บริหารที่มีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบาย
3. เป็นนักขายตรง เมื่อเอ่ยถึงขายตรง หลายคนอาจเบือนหน้าหนี แต่ความจริงแล้วการขายตรง เช่นประกันชีวิต สามารถสร้างคนที่ไม่มีอะไร ให้ขึ้นมามีทุกอย่างได้จริง และเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถสูงมาก งานขายตรงอย่างประกันชีวิต เครื่องสำอางหรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30% ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30% ของค่านายหน้าของลูกทีมอีกที ซึ่งจะตกประมาณ 10%ของยอดขายสินค้ารวม ถ้าทีมงานสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว 
4. เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ วิชาชีพเฉพาะทางก็สามารถสร้างความร่ำรวยได้เช่นกัน เช่นแพทย์เฉพาะทาง ,ทนายความ ,สถาปนิก, ศิลปิน อาชีพเหล่านี้ถ้ามีผลงานโดดเด่นและมีฝีมือจริง รายได้จะสูงมาก  
5. เป็นนักลงทุน ข้อนี้สามารถทำได้แม้จะเป็นพนักงานประจำ แต่ต้องฉลาดในการเลือกลงทุน ตอนนี้มีหลายคนที่ทำงานประจำไปด้วย แต่ลงทุนในหุ้นไปด้วย ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมที่ดี แต่การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงหมด ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทใดต้องศึกษาให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นจากที่จะได้เงินงอกเงยขึ้นมา เงินนั้นอาจจะหายวับไปกับตาก็ได้  
ทั้งหมดเป็นไอเดียที่จะทำให้คนทั่วไปขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และความมุ่งมั่น ซึ่งจะเป็นหลักสำคัญผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้

ขั้นตอนการเปิดบัญชีกับ FBS

ขั้นตอนการเปิดบัญชีกับ FBS


 1.เข้าไปที่หน้าแรกเพื่อทำการสมัคร http://www.fbs.com/th แล้วคลิกที่ “เปิดบัญชี Live”


2.     กรอกข้อมูลเพื่อทำการเปิดบัญชี





3.      ให้คุณเข้าไปเช็คเมล์ของคุณ เพื่อทำการยืนยันอีเมล์
4.      เข้าไปที่เมล์ของคุณ คลิกลิงค์เพื่อยืนยันที่อยู่อีเมล์


5. จากนั้นคุณจะมาที่หน้าให้ใส่ข้อมูลยืนยันการติดต่อยของคุณ มีให้เลือกทั้งทางโทรศัพท์ และอีเมล์ สังเกตว่า ถ้าคุณเลือกเป็น SMS คุณจะมีสิทธิได้รับโบนัส $5 โดยอัตโนมัติ (สำหรับบัญชีไมโครเท่านั้น 1 คนมีสิทธิรับได้เพียง 1 ครั้ง)

6. ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ และ รอรับรหัส ทางSMS



7. รอรับ SMS แล้วกรอกลงในช่อง ในส่วนที่2 ** ถ้าคุณมีปัญหาในการรับ SMS คุณสามารถเลือกเป็นทางอีเมล์ได้ แต่สำหรับบัญชีไมโคร ก็จะหมดสิทธิ์ในการรับฟรีโบนัส $5 ด้วย




หากคุณทำการยืนยันด้วยอีเมล์ จะมีหน้าที่เป็นข้อตกลงให้คุณทำเครื่องหมายในช่องยอมรับข้อตกลง แล้วกด Submit

FBS Broker สเปรดต่ำ โปรโมชั่นเยี่ยม ฝาก-ถอนง่าย ผ่านระบบ Local Exchanger

บริษัท FBS  ได้รับการคัดเลือกจากนักลงทุนต่างๆกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดยทุกๆวันมีเทรดเดอร์มากมายได้เข้ามาร่วมกับทีมงาน FBS  ของเรา สถาบันการเงินอิสระได้ให้ความยอมรับการบริการที่มีคุณภาพและความมั่นคงของบริษัทนอกจากนี้ยังรั้งตำแหน่งผู้นำในกลุ่มโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงที่ได้เข้าร่วมในงานนิทรรศการนานาชาติ โดยได้รับรางวัลมากมายจากการที่ให้บริการอย่างมีคุณภาพและมีความมั่นคงสูงและรวมไปถึงการมีเงื่อนไขการค้าที่ให้ผลตอบแทนสูง ได้รับรางวัล มินิฟอเรกซ์โบรกเกอร์ที่ดีที่สุด  จากหนังสือทางด้านการเงินที่มีชื่อเสียงอย่าง World Finance อีกทั้งในเดือน มีนาคม ปี 2011 ในงานนิทรรศการการเงินนานาชาติ ShowFX World ที่กรุงเคียฟ FBS  ได้รับรางวัล มินิฟอเรกซ์โบรกเกอร์ที่ดีที่สุดประจำปี 2010  และเมื่อวันที่ 21-23 ตุลาคม 2012 บริษัท FBS ในงานนิทรรศการ the 9th China (Guangzhou) International Investment & Finance Expo ได้รับรางวัล แพลตฟอร์ม MT4 ที่ดีที่สุด (The best MT4 Platform Award) ด้วย
  • เสปรดต่ำ เริ่มต้นที่ 0.3
  • ไม่มีรีโควต เหมาะสำหรับการเทรดสั้น Scalping
  • ไม่มีบัญชีสวอป
  • ใช้โปรแกรมเทรด MT4 สามารถเทรดผ่านโทรศัพท์มือถือ และ เท็บเล็ตที่รองรับ ได้
  • มีทีมวิเคราะห์ข่าวให้ลูกค้า และมีเว็บไซด์ให้ลูกค้าเข้าใช้บริการได้
  • ระบบการยืนยันตัวตนใช้เพียง  บัตรประชาชน  หรือใบขับขี่ หรือ พาสปอร์ต (อย่างใดอย่างหนึ่ง)
  • มีระบบการฝากถอนเงินผ่านธนาคารไทย และ E-currency ชั้นนำ รวมทั้งบัตรเครดิต เดบิตด้วย
  • มีระบบเตือนแจ้งยืนยันการถอนเงินผ่านระบบ SMS   ดำเนินการภายใน 24 ชม
  • มีโบนัสฟรี $5 สำหรับบัญชีไมโคร
  • มีโปรโมชั่น Bonus การฝาก  Bonus สามารถถอนได้เมื่อดำเนินการครบตามเงื่อนไข
  • เงินฝากขั้นต่ำบัญชี สแตนดาร์ด เริ่มต้นเพียง $25 และ $5 สำหรับบัญชีไมโคร
  • มีพนักงานซัพพอร์ต คอยแก้ไขปัญหา หรือตอบคำถาม ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงในเวลาทำการ
  • มีระบบเตือนแจ้งยืนยันการถอนเงินผ่านระบบ SMS 
  • รองรับ EA ได้ทุกรูปแบบ

ทำอย่างไรให้รวย กับนิสัย 7 อย่างทำให้คุณรวยแน่นอน

ทำอย่างไรให้รวย กับนิสัย 7 อย่างทำให้คุณรวยแน่นอน

คนเราจะเป็นเศรษฐีได้ ไม่ได้อยู่ที่เก่งเรื่องการหาเงินเพียงอย่างเดียว เพราะว่าจะหาเงินมาได้เท่าไหร่หากมีนิสัยการบริหารเงินที่ไม่ดี มีเงินเท่าไหร่ก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ สิ่งสำคัญคือการมีนิสัยการสร้าง และ การบริหารเงินที่ดีด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นเศรษฐีอย่างแท้จริง แต่ว่าจะต้องทำยังไงให้รวยล่ะ?
ความร่ำรวยไม่ได้มาจากโชค หรือ โอกาส แต่มาจากนิสัยการบริหารเงิน นิสัยบางอย่างที่เราทำทุกๆวัน ทำซ้ำๆ ทำวันละนิด แต่ทำตลอด วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่านิสัย 7 อย่างที่จะทำให้คนเป็นเศรษฐีนั้นมีอะไรบ้าง

1. ตั้งเป้าหมาย

ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราจะต้องมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงเสียก่อน ถ้าไม่มีเป้าหมายแล้วจะวางแผนการเดินทางได้ยังไง ถูกมั้ย เป้าหมายการสร้างความร่ำรวยก็เหมือนกัน คนที่ร่ำรวยไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ แต่เป็นการที่คนเหล่านั้นมีเป้าหมายชัดเจน และสามารถวัดผลได้ เช่น ฉันจะต้องมีเงิน 5 ล้านใน 10 ปีข้างหน้า โดยการสร้างรายได้จากธุรกิจ… (รูปแบบธุรกิจที่คุณทำอยู่ หรือ กำลังจะทำ) หรือ จากการออมเงินไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามคุณจะต้องประกาศให้ตัวเองรับรู้ และ หมั่นย้ำในคำประกาศของคุณเพื่อเตือนตัวเองถึงเป้าหมายอยู่เป็นประจำ
ตั้งเป้าหมาย

2. ตอกย้ำเป้าหมายทุกวัน

เมื่อคุณได้ตั้งเป้าหมายแล้ว สิ่งต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กัน คือความมุ่งมั่น คุณจะต้องใช้พลังทั้งหมดของคุณ ทำทุกสิ่งที่คุณจำเป็นจะต้องทำ เพื่อที่จะไปให้ใกล้เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เตือนตัวเองอยู่เสมอด้วยการสำรวจตัวเองว่าวันนี้คุณทำอะไรไปแล้วบ้าง แล้วสิ่งที่ทำไป ช่วยให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายหรือไม่ ถ้าสิ่งที่ทำไม่ได้ช่วยให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายกว่าเดิม แล้วคุณยังทำอยู่ทำไม?
คนเป็นเศรษฐี คิดถึงเป้าหมายตลอดเวลา ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวินาที ไม่ใช่ทุกอาทิตย์ หรือ ทุกเดือน
ตอกย้ำเป้าหมายกับตัวเองทุกวัน

3. ใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้

อีกนิสัยที่สำคัญสำหรับการเป็นเศรษฐี คือ การใช้เงินน้อยกว่าที่หามาได้ คิดง่าย หามาได้เท่าไหร่ใช้เท่านั้น แล้วทำยังไงก็ไม่มีเงินเหลือนะ ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือการมีวินัยในการออมเงินนั่นเอง ไม่ใช่ว่าได้เงินมาเท่าไหร่ก็หน้าใหญ่ทันที อะไรจำเป็นก็ซื้อ อะไรแค่อยากได้แต่ไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องซื้อก็ได้ อาจจะใช้ระบบเดินดูไปก่อน อย่ามือไวรูดปื้ดรูดปื้ด เงินที่อุตส่าห์หามาได้อย่างลำบากยากเย็นจะได้ไม่หมดไปเพราะมือไวใจเร็ว
ใช้เงินน้อยกว่าที่หามาได้

4. สร้างคุณค่า

คนที่เป็นเศรษฐีส่วนใหญ่จะสร้างคุณค่าในการทำงานได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า ซึ่งนี้เกิดขึ้นมาจากการใส่ใจในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานที่เล็กน้อยเพียงไหนก็ตามแต่ว่าหากคุณเห็นคุณค่าในงานชิ้นนั้น ไหนๆจะทำแล้วก็ต้องทำให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้น พวกเขาก็ยังเลือกสร้างคุณค่าในตัวเองด้วยการลงทุนค้นหา ค้นคว้าหาความรู้ตลอดเวลาอีกด้วย
สร้างคุณค่า

5. ไม่ท้อแท้

แต่ละคนต่างก็มีวันดี และ วันร้ายกันทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือการที่เราไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคทั้งหมดทั้งมวล ความผิดพลาดเป็นบทเรียน ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่สิ่งที่คนจะเป็นเศรษฐีถามตัวเองเมื่อมีสิ่งที่ผิดพลาดเกิดขึ้น คือ เราได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดนี้บ้าง เมื่อได้คำตอบแล้ว ได้บทเรียนแล้วก็แค่อย่าทำพลาดอีก ยืดอกแล้วเดินต่อไป มุ่งไปที่เป้าหมายต่อไป อย่าให้อะไรมาหยุดยิ้งเรา
ไม่ท้อแท้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

6. ความเสี่ยง

เศรษฐีส่วนใหญ่จะกล้าทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ จนบางทีดูเหมือนคนบ้า ดูอย่างนาย สตีฟ จ๊อบส์สิ เหมือนใครซะทีไหน โดนไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งขึ้นมา แล้วก็โดนจ้างกลับมาทำงานใหม่ แล้วก็ทำให้แอปเปิ้ลได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้ ทำให้เราเห็นว่าความสำเร็จที่ได้จากความกล้าบ้าบินนั้นจริงๆแล้วถ้าเกิดจากความเข้าใจที่ถ่องแท้ ความเสี่ยงที่มีก็จะแตกต่างกันไปนั่นเอง เพราะว่าเขาเข้าใจความเสี่ยง ทำให้มองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทุน ต้นทุน และ ความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ก็ลงมือทำ แม้ว่าจะดูกล้าบ้าบินขนาดไหนก็ตาม
เข้าใจความเสี่ยง

7. ไม่เห็นแก่ตัว

คนมากมายสมัยนี้ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่เป็นเศรษฐี เพราะหลายคนคิดว่าคนที่เป็นเศรษฐีได้นั้นจะต้องเอาเปรียบคนอื่น ทำนาบนหลังคน เห็นแก่ตัว ถึงทำให้เขาได้มาถึงจุดที่ตัวเองอยู่ได้นั่นเอง แต่จริงๆแล้วคนเป็นเศรษฐีได้นั้น จะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวมาตั้งแต่ต้นอย่างเหน็ดเหนื่อย ยากลำบาก พอได้มาถึงจุดที่ตัวเองเป็นเศรษฐีแล้ว คนๆนั้นมักจะเห็นคุณค่าในการสร้างผลประโยชน์ให้คนอื่น เห็นความสำคัญในการสร้างคุณค่าให้คนอื่นๆเป็นจำนวนมาก ไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว แต่แค่ไม่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ และ มักจะเป็นคนใจกว้าง เปิดใจฟังคนอื่นเสมอ และเชื่อในการคืนผลประโยชน์ให้กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อคิด แบ่งปันแนวคิด ผลิตภัณฑ์ หรือ ทรัพยากรอื่นๆที่มีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
คืนคุณค่าให้แก่สังคม

ดูอย่างกรณีของ นายริชาร์ด แบรนสัน กับสเตซี่ เฟอเรร่า สาววัย 20 กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แล้วมีไอเดียธุรกิจชื่อ MySocialCloud ที่เธอทำกับพี่ชาย ไปเห็นข้อความทวิตเตอร็ของนายริชาร์ดแบรนสัน แล้วคว้าโอกาสเอาไว้จนได้พบปะพูดคุยกันเรื่องธุรกิจ และสุดท้ายก็ได้รับทุนในจำนวนที่ไม่ประกาศตัวเลขเพื่อทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อในที่สุด เพียงแค่ข้อความสั้นๆ ข้อความเดียว นี่เป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่า การรู้จักไขว่คว้าโอกาสกับทิศนคติที่ถูกต้องนั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อเส้นทางการเป็นเศรษฐีของคุณ
ที่สุดแล้ว การสร้างนิสัยที่ดี เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน เริ่มทีละน้อย แต่ทำทุกวัน ดังนั้นหากต้องการเป็นเศรษฐี มาเริ่มต้นสร้างนิสัยใหม่ๆกันวันนี้เลยดีกว่า
แล้วคุณค่ะ วันนี้คุณมีข้อแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งอะไรบ้าง? แบ่งปันกับเราข้างล่างได้เลย
ทำอย่างไรให้รวย กับนิสัย 7 อย่างทำให้คุณรวยแน่นอน
Designed by Freepik

10 วิธีที่ทำให้รวยเร็วที่สุด ( VERSION ENG )

10 วิธีที่ทำให้รวยเร็วที่สุด ( VERSION ENG )
1. Invest - Start young. In fact start while you are in elementary school, kindergarten is even better. It’s the beauty of compound interest and over time your money will grow into a nice nest egg. Okay if you are reading this you are probably too old to start in elementary school but you can get your kids hooked. As for you the best plan of defense is to invest 50% of your salary in a high risk market fund or the penny stock market. You’ve got a 50-50 chance. You’ll either make a million or be broke in 90 days.

2. Marry Rich - Now how difficult can this be? All you need to do is find someone who has loads of money and marry them. Okay I didn’t say you’d be happy just rich. Perhaps not a solution for most of us but it apparently works for a few.

3. Win The Lottery - Ya ya I know the odds of getting struck by lightening are better than the odds of winning the lottery but you can’t win if you don’t try and it’s one of the few ways I know of that you can get rich fast.

4. Rich Parents - If you come from a wealthy family then you are half way there. All you have to do is stay in their good books and convince mom and dad to not spend their money and leave it to you when they pass. After all why should your parents get to enjoy the wealth they reaped?

5. Get An Education - Go to school for lots of years, accumulate plenty of debt, and choose a career that pays big bucks. After about 10 years in your profession you should be rolling in the dough and you might even be filthy rich before you get old

6. Become A Star - Heck if Jennifer Aniston or Nicolas Cage can do it why can’t you. A couple of acting lessons and you should be set. All you need to do is head to Hollywood and strike it big. One good movie and you’ll be set for life.

7. Invest In Real Estate - Buy high sell low – whoops I think I got that backwards. Buy low, wait 10 years, 20 years, maybe even 30 years but inflation will have your investment growing by leaps and bounds and you could be filthy rich especially if you bought in an up and coming city while house prices were still low. Now if you bought in Hicksville USA you may have a problem. It might take more than your lifetime to see any dramatic increases. Oh well you can leave it to your kids who can leave it to their kids and in another 100 years or so someone’s going to be sitting pretty.

8. The Internet Way - Heck where have you been. A quick search on the Web will reveal plenty of sites that will teach you how to make $50,000 a day. Now I think most of us could live quite comfortably on that don’t you? All you need to do is part with about $500 and they’ll tell you the secrets of wealth in one page or less. If the first one doesn’t do it for you perhaps you might want to try a few more. Oh wait a minute. Perhaps what you need to do is set up one of these sights, then you’ll be the one getting rich off the other poor fools that part with their $500.

9. Bank Robbery - Okay highly illegal and could land you a lifetime in the slammer but desperate needs require desperate measures. After all if you get caught you might not be rich but you’ll have free room and board for the rest of your life and then you could write a book about what not to do when robbing a bank and well see you could get rich from your book. And even better, you’ll stay rich because there is really no place to spend it while in jail.

10. High Risk Work - Take on those high risk jobs no one else wants. You know counselor in Iraq, bean counter in Afghanistan, Oil tycoon in Iran. But hey if you live through it you’ll be rolling in the dough. What does it matter that 99% never live through it. You’ve got a 1% chance and when it comes to getting rich those are pretty good odds.
สำหรับหญิงคิดว่า......1 ล้านต่อปี ง่ายมว๊ากกก ( อย่า อยู่ อย่าง อยาก...ชีวิตเรา ใช้ซะ !! )
1. เป็นเจ้าของกิจการ เพราะทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย เป็นลูกจ้างทำมากน้อยก็ได้เท่าเดิม -_-"
2. ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หุ้น อีก 5 ปีกำไรเห็นๆ
3. โอกาสดีๆ ไม่ได้มีมาบ่อยๆ อะไรกำลังอินเทรนด์ จัดเต็ม โกยยยย 
4. ซักถามผู้ที่ประสบความสำเร็จ ( การลงทุนที่ต่ำ ที่สุด )
5. รู้จักให้ เพราะ....ยิ่งให้ ยิ่งได้นะจ๊ะ ^___^

วิธีเป็นเศรษฐีเงินล้าน 

         “เงินไม่ใช่พระเจ้า  แต่เงินก็สามารถซื้อทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างไว้บนผืนพิภพแห่งนี้”

         พูดอย่างนี้ มิได้มีเจตนาบูชาเงินเป็นสรณะ แต่ถ้าคุณคิดว่าตนเองเป็นคนดี  ถามว่า เงินถ้าอยู่กับคนดีๆ มีอะไรเสียหายไหม วันหนึ่งคุณเกิดมีเหตุจำเป็นต้องใช้ หรือ อยากช่วยใครสักคน แล้วมีเงินอยู่ในมือที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ถามว่าดีไหม

         เพียงแต่ว่า เงินก้อนนั้น ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจริยธรรม ไม่ไปเบียดเบียนใคร    เรามักจะพูดกันว่า ถ้ามีเงินเป็นล้านจะเป็นเศรษฐี ถามจริงๆว่า ถ้ามีเงินเพียง 1 ล้านบาท นับเป็นเศรษฐีได้จริงๆหรือ เดี๋ยวนี้ 1 ล้านบาทไม่พอซื้อบ้าน , ไม่พอซื้อรถยี่ห้อแพงๆ, ไม่พอรักษาโรคร้ายแรง เงิน 1 ล้านบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย

           ในบทความนี้ จึงตั้งสมมติฐานว่า เศรษฐีควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ   แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ไปจี้ไปปล้นใครมา

          1.เป็นเจ้าของกิจการ
          ใครๆก็รู้ว่า เป็นเถ้าแก่ จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่สถิติพบว่าธุรกิจเปิดใหม่ จะล้มหายตายจากไปในปีที่สองถึง 70% และจะอยู่อย่างยั่งยืนเกิน 10 ปี ได้เพียง 3-5% เท่านั้น แต่ผู้คนทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจกันไม่เว้นแต่ละวัน อย่างน้อยก็ขอลองสักตั้ง  ไม่ว่าจะเสี่ยงเพียงใด มาดูว่าเจ้าของธุรกิจ ทำเงินกันอย่างไร

          สูตรที่มักจะใช้อธิบายกำไรของเจ้าของธุรกิจคือ
          ยอดขาย - ต้นทุนคงที่ - ต้นทุนแปรผัน = กำไร

          เพื่อทำให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่นธุรกิจหนึ่งหากมี ยอดขายต่อเดือนที่ 1 ล้านบาท จะมีต้นทุนคงที่ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผัน 200,000 บาท ดังนั้น หากเจ้าของธุรกิจจะมีกำไรเขาต้องผลักดันยอดขายให้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ถ้ายอดขายต่ำกว่า  1 ล้านบาทจะขาดทุนทันที เช่น ถ้ายอดขาย 1,500,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาทคงเดิม ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 1.5เท่าของเดิมซึ่งเท่ากับ 300,000 บาท  เดือนนั้นจะกำไร 1,500,000 - 1,100,000 = 400,000 บาท

          แต่ถ้า ยอดขายเป็น 3,000,000 บาท ต้นทุนคงที่เท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันจะขึ้นมาเป็น 3 เท่าซึ่งเท่ากับ 600,000 บาท   เดือนนั้นจะมีกำไรเท่ากับ 3,000,000 บาท - 1,400,000 = 1,600,000บาท

          ในทำนองกลับกัน ถ้ายอดขายตกลงมาเหลือ 500,000 บาทต้นทุนคงที่ยังคงเท่ากับ 800,000 บาท ต้นทุนแปรผันอาจลดลงครึ่งหนึ่งของเดิมเท่ากับ 100,000 บาท เดือนนั้นจะมียอดขาดทุนเท่ากับ500,000 - 900,000  = -400,000 บาท

           ตัวเลขข้างต้นเป็นตัวเลขสมมติคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งในชีวิตจริงจะซับซ้อนกว่านี้ และแต่ละธุรกิจก็มีสัดส่วนของตัวเลขต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันแตกต่างกันไป แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น รวยเร็ว และ เจ๊งเร็ว  พอๆกัน ขึ้นกับฝีมือ ขึ้นกับความต้องการของตลาด ขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง

          หากสร้างธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะร่ำรวยเงินไหลมาเทมา โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงินสด 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเถ้าแก่เหล่านี้

          ปัจจุบันพบว่า มีเถ้าแก่หัวหมอที่ต้องการรวยลัดยิ่งๆขึ้น เขาใช้วิธีสร้างธุรกิจแล้วขายต่อทำกำไร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะได้สิทธิไม่ต้องเสียภาษีส่วนกำไร  ถ้าสร้างธุรกิจมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนมั่นคงแล้วขายต่อ  คงจะไม่มีใครว่าอะไร เพราะอยู่ในกรอบอยู่ในเกณฑ์

          แต่ถ้าใช้วิธีสร้างข่าวสร้างภาพให้หุ้นตัวเอง ด้วยการเทคโอเวอร์ , ขอสัมปทาน ,ปั้นสารพัดโปรเจค์ขึ้นมาขายฝันแล้วขายออก   เป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง

           คนขายรับเงินล่วงหน้าในอนาคตของประมาณการ ยอดขาย สิทธิสัมปทาน และ ค่านิยม  (GOOD WILL) ต่างๆที่ตอบสนองไปในราคาหุ้นเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้คนซื้อไปรับความเสี่ยงแทนว่ารายได้ในอนาคตจะได้ตามที่นักวิเคราะห์ขายฝันให้หรือเปล่า

            2.เป็นผู้บริหารระดับสูง
             สมัยก่อน พวกเถ้าแก่มักจะพูดสอนลูกหลานว่า  เวลาเรียน ไม่ต้องเรียนสูงนัก พอให้จบปริญญาตรีแล้วมาทำการค้าจะร่ำรวยกว่า พวกที่เรียนสูงจนจบด๊อกเตอร์ สุดท้ายก็ไปเป็นลูกน้อง รับจ้างบริหารให้พวกเถ้าแก่ รับเงินเดือน 80,000 - 100,000 บาท แต่ไม่รวย

            สมัยนี้ เราดูถูกนักบริหารมืออาชีพไม่ได้เสียแล้ว หากมีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากเถ้าแก่หรือผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทแล้ว  เขาจะสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบายๆ

           รายได้ขนาดนี้มาได้อย่างไร
           บริษัทใหญ่ๆระดับประเทศ  การที่ผู้บริหารสูงสุดจะมีเงินเดือนๆละ 200,000 - 500,000 บาท ไม่ใช่เรื่องแปลก  และยิ่งถ้าได้เป็นกรรมการบอร์ดของบริษัทในเครืออีกสัก 4-5 แห่ง รับเบี้ยประชุมเพิ่มอีกแห่งละ 300,000 - 1,000,000 บาทต่อปีก็มีให้เห็นมากมาย

           บางบริษัทใช้วิธีตั้งโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรตามยอดขาย หากว่าทำได้ตามเป้าที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี  ช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง บริษัทใหญ่ๆต่างสร้างสถิติยอดขายใหม่สูงสุด ทำให้ผู้บริหารร่ำรวยไปตามๆกันหลายคนได้โบนัสถึง 3-5 ล้านบาท โดยไม่คาดฝัน

           อีกช่องทางที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ผู้บริหารคือ (ESOP / EMPLOYEESTOCK OPTIONPLAN) ที่กรรมการบริษัทมักจะลงมติมอบสิทธิในการซื้อหุ้นให้กับผู้บริหารและพนักงานบริษัท เพื่อจูงใจให้เร่งสร้างกำไร   ปรากฏว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่า 70% มักมอบให้กับผู้บริหาร 5-6 คนแรกของบริษัท บางคนได้สิทธิจองซื้อถึง 10 ล้านหุ้น

           ลองนึกภาพดูว่า หากสามารถผลักดันกำไรจนทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือราคาสิทธิ 5-6 บาทต่อหุ้น เขาจะมีกำไรคนละ 50-60 ล้านบาททีเดียว นักบริหารมืออาชีพจึงเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามไม่ได้

           3.เป็นนักขายตรง
            คนไทยมักรังเกียจอาชีพงานขาย ดูถูกว่าต่ำต้อย ขณะที่ฝรั่งเขามองว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะและใช้ความสามารถสูง เราจึงพบว่า ผู้บริหารของบริษัทฝรั่งหลายคนมักมีพื้นฐานมาจากขาย หรือ อยู่ฝ่ายขายมาก่อน

             งานขายตรง ไม่ว่าประกันชีวิต เครื่องสำอางค์หรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30%ไม่ว่าจะเป็นการขายครั้งแรกหรือเมื่อขายซ้ำ   ยกเว้นงานขายประกันชีวิตที่จะได้มากในปีแรก

             ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30%ของค่านายหน้าของลูกทีมซึ่งน่าจะตกประมาณ 10%ของยอดขายสินค้ารวม ลองนึกภาพดูว่า ถ้าทีมงานขายนั้นสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว หรือตัวนักขายเองหากขยันพบลูกค้า จะสามารถทำยอดขายได้ 10 ล้านบาทต่อปี เขาก็สามารถมีรายได้ 3 ล้านบาทต่อปีได้เช่นกัน

            4.เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ
            เราคงเคยได้ยิน เรื่องแพทย์เฉพาะทาง ,ทนายความผู้เชี่ยวชาญ ,สถาปนิกผู้โด่งดัง ที่สามารถทำเงินได้ปีละ 5-10 ล้านบาท บางคนสามารถเรียกค่าปรึกษาเป็นนาที ตั้งราคาได้ตามที่ตนเองพอใจ คนเหล่านี้ย่อมเป็นเศรษฐีได้ตามปรารถนา

             5.เป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด
             ถึงแม้เราจะเป็นคนธรรมดา มีอาชีพแค่เป็นลูกจ้าง เป็นคนกินเงินเดือน เราก็สามารถเป็นเศรษฐีได้เหมือนกันถ้าเราเก็บเงินเก่ง  รู้จักช่องทางลงทุน และลงทุนได้อย่างชาญฉลาด สมมติว่าเราเก็บเงินได้เดือนละ10,000 บาท ปีละ 120,000 บาทเก็บได้ทุกปีอย่างต่อเนื่อง แล้วเรานำเงินนี้ไปลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมชนิดต่างๆ หากคุณสามารถทำกำไรได้เฉลี่ยปีละ 15 % ผ่านไป 20 ปีเงินของคุณจะงอกเงยมาเป็น 14 ล้านบาท

             แต่ถ้าคุณสามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนถึงปีละ 20 % อีก 20ปีข้างหน้า เงินของคุณจะกลายเป็นเงิน 27 ล้านบาท  ถึงตอนนั้น คุณก็ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีเหมือนกับเขา

            ที่เล่ามา เป็นกลุ่มหลักๆที่พอจะประมวลมาได้ว่า  เป็นช่องทางที่คนทั่วไปจะมาดมั่นขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ ขณะที่บางอาชีพทำให้ตาย ขยันอย่างไร ก็ไม่มีทางรวย แต่ คุณเห็นด้วยกับผมไหมว่า ทุกกลุ่มที่พูดมาทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต้องขยันมุ่งมั่นและอดทนอย่างถึงที่สุด จึงจะบรรลุความสำเร็จ

            ว่าแต่ว่า คุณมีคุณสมบัตินี้แล้วหรือยัง ถ้ามี เงินล้าน เงินสิบล้าน ก็รอเป็นรางวัลชีวิตให้คุณเหมือนกัน

15 ประโยคที่คน "ประสบความสำเร็จ" จะต้องไม่พูด

15 ประโยคที่คน "ประสบความสำเร็จ" จะต้องไม่พูด

สิ่งที่เหล่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ นอกจากเขาเหล่านั้นจะมีแนวคิด หรือมีวิถีชีวิตที่แตกต่างบางอย่างออกไป ยังมีเรื่องที่เราควรน่าเรียนรู้ไว้ นั่นก็คือ นักธุรกิจหรือผู้สำเร็จเหล่านั้นมักจะไม่มีพูดประโยคเหล่านี้ออกมาเลย

1. "We can’t do that." | เราทำไม่ได้


สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนและบริษัทประสบความสำเร็จได้ ก็คือความสามารถที่จะแก้ปัญหาให้กับลูกค้า เพราะความต้องการของลูกค้าคือหลักใหญ่สำคัญของการทำงาน ดังนั้น ความสามารที่จะแก้ปัญหานั้นๆ ได้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ก็จะทำให้คุณประสบความสำเร็จเร็วมากขึ้นเท่านั้น

2. "I don’t know how." | ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร


คำว่าไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เหมือนกับการปิดตายหนทางแก้ปัญหานั่นเอง ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จแล้วพวกเขาเรียนรู้ที่จะทำทุกอย่างให้โปรเจ็คต์นั้นๆ ไปถึงเป้าหมายให้ได้ ยกตัวอย่างว่าคุณคงไม่เคยเห็นที่ปรึกษาด้านต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จคนไหน ปฏิเสธที่จะเรียนภาษาอิตาเลี่ยน ทั้งๆ ที่เขาจำเป็นต้องเดินทางไปอิตาลีอยูบ่อยๆ

3. "I don’t know what that is." | ฉันไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้


คำแก้ตัวที่ว่าไม่รู้สิ่งนั้น สิ่งนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปใส่ใจปัญหานั้นๆ มันไม่ได้ทำให้ปัญหาเหล่านั้นหมดไปหรอก แม้จะเป็นเรื่องดีที่คุณซื่อสัตย์กับคนอื่นที่บอกว่าทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ แต่จะดีกว่าไหมถ้าต่อด้วยคำว่า “but I’ll find out” (แต่เดี๋ยวจะหาทางทำให้ได้) ซึ่งจะทำให้งานของคุณประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

4. "I did everything on my own." | ฉันทำทุกอย่างด้วยตัวเอง(คนเดียว)


คือประเภท "ชอบเอาดีเข้าตัว" โดยเฉพาะหลายๆ งานที่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำแต่เอาหน้าคนเดียว ซึ่งคนที่เก่งๆ มักจะรายรอบไปด้วยคนอื่นๆ ที่เก่ง ฉลาด และมีความสามารถ แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการให้เครดิตแก่คนอื่นๆ ด้วย ซึ่งในไม่ช้ามันจะกลับมาที่ตัวคุณเอง จำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณหรือจะเกิดผลกับคุณในเวลาต่อมา แล้วคุณจะสามารถหาประโยชน์จากความสำเร็จนี้ได้เอง

5. "That’s too early." | มันเร็วเกินไปที่จะ...


คุณจะไม่เคยได้ยิน “เบนจามิน แฟรงกิน” หรือคนที่ประสบความสำเร็จอื่นๆ อย่า “สตีฟ จ็อบส์” กล่าวว่า “มันเร็วเกินไปสำหรับผมที่จะ…” เพราะคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะคว้าทุกโอกาสที่มีทันที หรือที่เรียกว่า “at the right place at the right time” และไม่ว่าคุณจะเป็นนกที่ตื่นเช้าหรือนกฮูกราตรีก็ตาม

6. "That’s too late." | มันช้าเกินไป


คล้ายกับในข้อที่แล้ว เช่น ถ้าคุณถูกขอให้ไปร่วมดินเนอร์ตอน 3 ทุ่ม เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และหากคุณทำได้ให้ไปเลย คุณอาจจะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแต่การสร้างคอนเน็คชั่นระหว่างดินเนอร์เล็กๆ นี้ จะสามารถสร้างความแตกต่างให้กับอาชีพและโปรเจ็คต์หน้าของคุณได้เลย

7. "It’s too bad we couldn’t work together." | มันเลวร้ายมาก จนเราไม่สามารถทำร่วมกันได้


ถ้าความเป็นจริงมันเลวร้ายมาก แต่เราจำเป็นต้องทำงานติดต่อกับคนๆ นั้น ก็ต้องลองหาหนทางทำให้ได้ ซึ่งอาจจะใช้วิธีหาคนที่ชอบพูดคุยสื่อสารมาเป็นคนกลางให้ก็ได้ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะหาหนทางในการทำงานร่วมกับคนพวกนี้ได้ในที่สุด

8. "Let’s catch up sometime." | ลองจับผิดเขาดูนะ


ผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วต่างรู้ดีว่าการนั่งจับผิดใครบางคน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะทำอย่างนั้นย้อนกลับเช่นกัน สิ่งนี้ตั้งอยู่บนไอเดียที่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะทำงานอย่างหนักและสร้างความสัมพัน์กับเครือข่ายต่างๆ โดยปราศจากวาระซ่อนเร้น

9. "I’m sorry, I’m too busy." | เสียใจนะ ฉันยุ่งมาก


ถ้าโอกาสมาถึงคนที่ประสบความสำเร็จมักจะลงมือคว้ามันเอาไว้แล้วทำให้มันเป็นจริง แน่นอนว่ามันอาจจะกินเวลายาวนาน และแม้ว่าคุณจะยุ่งวุ่นวายอยู่ก็ตาม แต่ถ้ามันจำเป็นสำหรับการทำงานก็จงรับมันเอาไว้ เพราะกับการที่พูดว่า “ฉันไม่มีเวลา” ก็ไม่ต่างจากการที่พูดว่า “ฉันไม่ต้องการมัน” นั่นแหละ

10. "That was all my idea." | ทั้งหมดคือความคิดฉันนะ


ประโยคนี้คล้ายกับข้อ 4 คนที่ประสบความสำเร็จจะแบ่งปันความสำเร็จกับคนอื่นๆ นทีมด้วย เพราะไม่มีไอเดียใดหรอกที่คนๆ เดียวจะทำสำเร็จได้ มันมาจากประสบการณ์ที่มารวมกัน จากความใส่ใจและการแบ่งปันไอเดียร่วมกันในทีม การแชร์ความภาคภูมิใจและกำลังใจซึ่งกันละกันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ดีงามขององค์กรที่ประสบความสำเร็จแล้ว

11. "I never read books." | ฉันไม่เคยอ่านหนังสือ


Tom Corley แห่ง Rich Habits พบว่าคนที่มีฐานะส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือมากกว่าคนที่มีฐานะน้อย การอ่านหนังสือสารคดีสามารถช่วยลดความเครียดได้ แล้วยังส่งเสริมพลังแห่งการสร้างสรรค์ได้อีกด้วย

12. "I’m not good enough." | ฉันดีไม่พอ


ส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ก็คือการเป็นคนที่มั่นใจและให้คุณค่ากับตนเอง การจำกัดความสามารถตัวเอง ก็เหมือนกับการทรยศทั้งกับธุรกิจและชีวิตส่วนตัว

13. "It’s OK." (over and over) | มันโอเคอยู่แล้ว


คนที่ประสบความสำเร็จเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงหรือหยุดจากบางสิ่งหรือบางคนที่มาขัดขวางการทำงานให้บรรลุ มันไม่ใช่ว่า ทุกอย่างพอได้ หรือโอเค.ไปเสียหมด ให้รีบกันมันออกไปจากคุณทันที

14. "If our competitors don’t have it, then we don’t need it." | ถ้าคู่แข่งไม่มี เราก็ไม่จำเป็นต้องมีเช่นกัน


การเลียนแบบคู่แข่ง อาจจะทำให้ธุรกิจพังพินาศได้ นวัตกรรมที่แท้จริงจะมาจากการพลิกมุมคิด หรือการค้นหาว่าอะไรที่คู่แข่งไม่มีต่างหาก

15. "Time off is for suckers." | ไม่มีเวลาพักเลย


คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ มักจะเน้นแต่การทำงานในเชิงรุก การไปพักผ่อนกับเพื่อน ครอบครัวบ้าง จะเป็นการชาร์ตพลังงานได้ดี พวกที่ทำงานโหลดมากไปหลายๆ ครั้งไม่ได้ทำงานให้ดีขึ้นได้ ดังนั้น ควรหาเวลาไปพักผ่อนบ้างซะ แล้วงานก็จะออกมาดีขึ้นเอง
ลองพิจารณาว่าประโยคคำพูดเหล่านี้ เราใช้มันบ่อยๆ หรือไม่ ถ้าเราใช้บ่อยมันเกินไปก็สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติและนิสัยที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างมาก ดังนั้น หากเริ่มแก้เสียตั้งแต่วันนี้ ก็จะทำให้คุณเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ในวันข้างหน้า

20 คำคมสำหรับการเริ่มต้นเดินตามฝัน

20 คำคมสำหรับการเริ่มต้นเดินตามฝัน


          คนทุกคนล้วนมีความฝันเป็นของตัวเองทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะฝันถึงอะไรก็ตาม ความฝันที่มีอยู่ก็คงจะสูญเปล่าถ้าหากเราปล่อยให้ความฝันเป็นความฝันอยู่อย่างนั้น ไม่เริ่มต้นลงมือทำให้มันเป็นความจริงเสียที วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอรวบรวมคำคมข้อคิดเกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คนที่ไม่กล้าจะเริ่มต้นทำตามฝัน ได้ฉุกคิดไปพร้อม ๆ กันค่ะ
"You will never win if you never begin." - Helen Rowland
คุณไม่มีทางสำเร็จได้ ถ้าคุณไม่เริ่มต้น




"Almost everything comes from nothing." - Henry F. Amiel
เกือบทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ล้วนมาจากความไม่มีเหมือนกันทั้งนั้น




"The way to get started is to quit talking and begin doing." - Walt Disney
หนทางสู่การเริ่มต้น คือ การหยุดพูด และเริ่มลงมือทำ




"In every phenomenon the beginning remains always
the most notable moment."
 - Carlyle, Thomas
ในทุกปรากฎการณ์ จุดเริ่มต้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดเสมอ




"What is not started today is never
finished tomorrow."
 - Johann Wolfgang von Goethe
สิ่งที่ไม่ได้เริ่มต้นในวันนี้ ก็จะไม่มีทางสำเร็จในวันพรุ่งนี้เช่นกัน




"The indispensable first step to getting the things
you want out of life is this: Decide what you want."
 - Ben Stein
ก้าวแรกที่สำคัญในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในชีวิตก็คือ ถามตัวเองก่อนว่าคุณต้องการอะไร




"Start by doing what’s necessary; then do what’s possible;
and suddenly you are doing the impossible."
 - Saint Francis of Assisi
จงเริ่มต้นด้วยการทำสิ่งที่จำเป็นก่อน จากนั้นจึงทำสิ่งที่เป็นไปได้
และสุดท้าย คุณก็จะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้





"Start wherever you are and start small." - Rita Baily
จงเริ่มต้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน และจงเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ




"Failure is the opportunity to begin again more intelligently." - Henry Ford
ความล้มเหลวเป็นโอกาสที่จะเริ่มต้นอีกครั้ง แต่เป็นการเริ่มต้นอย่างฉลาดกว่าเดิม



"Life's hard. It's even harder when you're stupid." - John Wayne
ชีวิตเป็นเรื่องยาก แต่มันจะยิ่งยากขึ้นไปอีกถ้าคุณงี่เง่า




"Do not wait until the conditions are perfect to begin.
Beginning makes the conditions perfect." 
- Alan Cohen
อย่ารอจนกว่าปัจจัยต่าง ๆ จะพร้อมสำหรับการเริ่มต้น
เพราะการเริ่มต้นต่างหากที่จะทำให้ปัจจัยทุกอย่างพร้อมเอง





"The secret to living the life of your dreams is to start living the life
of your dreams today, in every little way you possibly can."
 - Mike Dooley
เคล็ดลับของการใช้ชีวิตตามความฝันก็คือ
การเริ่มต้นใช้ชีวิตกับความฝันที่มีในวันนี้ ทำสิ่งเล็ก ๆ ที่คุณสามารถทำได้





"Life is not a dress rehearsal. Stop practicing
what you’re going to do and just go do it. "
 - Marilyn Grey
ชีวิตไม่ใช่การลองเสื้อ หยุดฝึกซ้อมสิ่งที่กำลังจะทำ แล้วลงมือทำมันจริง ๆ เสียเถอะ




"Nobody can go back and start a new beginning,
but anyone can start today and make a new ending."
 - Maria Robinson
ไม่มีใครเดินกลับหลังและเริ่มต้นใหม่ได้
แต่ทุกคนสามารถเริ่มต้นทุกวัน และกำหนดจุดสิ้นสุดจุดใหม่ได้





"Nothing is predestined. The obstacles of your past can become
the gateways that lead to new beginnings."
 - Ralph Blum
ไม่มีอะไรกำหนดได้ล่วงหน้า อุปสรรคในอดีตของคุณอาจกลายเป็นหนทางที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่




"Don’t wait for something big to occur. Start where you are,
with what you have, and that will always lead you
into something greater."
 - Mary Manin Morrissey
อย่ารอให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เริ่มต้นจากที่ที่คุณอยู่
กับสิ่งที่คุณมี แล้วมันจะนำไปสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เอง





"The secret to a rich life is to have more
beginnings than endings." 
- Dave Weinbaum
เคล็ดลับสู่ชีวิตที่ร่ำรวย คือ การใช้ชีวิตให้มีจุดเริ่มต้นมากกว่าจุดจบ




"Life isn’t about finding yourself.
Life is about creating yourself." 
- George Bernard Shaw
ชีวิตไม่ใช่การค้นหาตัวเอง แต่มันคือการสร้างตัวของตัวเองขึ้นมาต่างหาก




"The beginning of knowledge is the discovery of
something we do not understand." 
- Frank Herbert
จุดเริ่มต้นของความรู้ คือการค้นพบบางสิ่งที่เราไม่เข้าใจ




"Don't let your past decide your future." - Frederick R. Bliss
อย่าปล่อยให้อดีตมาตัดสินอนาคต


          เป็นยังไงบ้างคะ มีประโยคไหนที่โดนใจอย่างจังกันบ้างหรือเปล่า เชื่อว่า ประโยคเหล่านี้คงจะทำให้คนที่กำลังท้อแท้ และคนที่กังวลที่จะเริ่มต้น ได้มีแรงฮึดในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างเข้มแข็งเลยทีเดียวล่ะ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

วิธีการสมัคร Neteller พร้อมสอนการใช้งาน (ฟรีค่าธรรมเนียมโอนระหว่างบัญชี)

วิธีการสมัคร Neteller พร้อมสอนการใช้งาน (ฟรีค่าธรรมเนียมโอนระหว่างบัญชี)


  คือ บัญชีเงินอีเล็คทรอนิคส์ หรือ e-currency  อีกชนิดหนึ่ง  สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน ระหว่างผู้ใช้ได้โดยตรงได้อย่างง่ายดาย  (จำกัดวันละ 5,000$)  โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการโดนลิมิตบัญชี หรือล็อคบัญชีผู้ใช้    อีกทั้งยังใช้ลงทุนในโบรคเกอร์ Forex  ซึ่งขณะนี้เกือบทุกโบรคเกอร์ ให้ความไว้วางใจ  เปิดให้บริการฝาก และถอนผ่าน Neteller  ได้  เช่น  FBS,  WELTRADE, FOREX4YOU, ROBOFOREX, FXPRO, EXNESS, HOTFOREX  และโบรคเกอร์ชั้นนำอื่น ๆ อีกมากมาย  นอกจากนี้เรายังใช้ชำระค่าสินค้าออนไลน์ เช่น เว็บเกมส์ออนไลน์ต่าง ๆ   และจุดเด่นที่สุดคือ  Neteller  ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนระหว่างบัญชี  ในขณะที่ขั้นตอนการเปิดบัญชี และยืนยันตัวตนทำได้ง่ายมาก  ไม่เข้มงวด ไม่ซับซ้อน มีความยืดหยุ่น 
วิธีสมัคร  Neteller  พร้อมสอนการใช้งาน

ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล     http://www.onlinemoneythai.com/neteller.php

1.  เริ่มต้นสมัครคลิกที่  === > http://www.neteller.com












==================================
วิธีการยืนยันตัวตน  Neteller

(ระบบใหม่ สมาชิกต้องทำการฝากเงิน  / เติมเงิน $ เข้าบัญชีก่อนถึงจะแสดงเมนูให้ Verify บัญชี)

1. เอกสารประจำตัว
 (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)

  • บัตรประชาชนรุ่นใหม่ที่มีชื่อภาษาอังกฤษ Thai National ID Card หรือ
  • หนังสือเดินทาง Passport
2. บิลต่าง ๆ ที่เป็นชื่อของคุณเองและตรงกับหนังสือเดินทาง หรือบัตรประชาชน  (ที่อยู่ไม่ตรงก็ได้แต่ชื่อต้องตรงและเป็นที่อยู่ปัจจุบัน) (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
  • บิลค่าน้ำประปาค่าไฟ บัตรเครดิต จากธนาคาร ,ค่าสาธารณูปโภคต่างที่เป็นของรัฐ หรือเอกชนที่ต่างชาติยอมรับ

เข้าระบบ NETELLER










วิธีการโอนเงินระหว่างบัญชี  Neteller











"คำเตือนความเสี่ยง: ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่นำเสนอโดย บริษัท ดำเนินการในระดับสูงของความเสี่ยงและอาจส่งผลในการสูญเสียของเงินทุนทั้งหมดของคุณคุณไม่ควรลงทุนเงินที่คุณไม่สามารถจะสูญเสีย.."

บทความที่ได้รับความนิยม