10 แนวคิดกำหนดชีวิตเพื่อสร้างอนาคต


10 แนวคิดกำหนดชีวิตเพื่อสร้างอนาคต

 
  1. อนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคืออดีตที่ผ่านมาต่างหาก เราควรเรียนรู้จากสิ่งที่เคยผิดพลาด ล้มเหลว และความพ่ายแพ้ของตัวเองเพื่อไม่ให้กลับไปทำอีก
  2. ความสำเร็จไม่ต้องจดจำมัน เพราะมันคือความไม่แน่นอน เราควรสร้างให้มันประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไปอีก ความสำเร็จในแต่ละขั้นตอนเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเราได้มาถูกทาง และควรจะพัฒนาให้ดีต่อไปขึ้นเรื่อยๆ
  3. ในทุกๆ ความสำเร็จนั้นมีความผิดพลาด และล้มเหลวเป็นส่วนประกอบมาแล้วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอย่ากลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นจากการลงมือทำ
  4. เราทุกคนล้วนได้อยู่ในโซนของความสบาย หรือความเคยชินหรือ ที่เรียกว่า comfort zone ซึ่งเป็นโซนอันตรายต่อความสำเร็จ มันเป็นกับดักที่ทำให้เราเกิดความกลัวที่ก้าวต่อไป หรือพัฒนาต่อ เราควรมุ่งไปอยู่พื้นที่แห่งการเรียนรู้ เพื่อหาแนวคิดและมุมมองใหม่ใหม่ให้กับชีวิต
  5. ถ้าเรายังทำงานประจำอยู่ แต่คุณอยากเก่งขึ้นหรือมีรายได้เพิ่มขึ้น จำเป็นจะต้องยอมทำงานในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากทำ หรือทำสองอย่างในช่วงเวลาเดียวกัน หลายคืนถือว่าเป็นเรื่องที่สาหัสสากรรจ์มาก แต่นั่นคือโอกาสที่จะสร้างรายได้และทำให้ประสบความสำเร็จ
  6. ความอดทน และรอคอยความสำเร็จ เป็นคุณสมบัติพื้นฐานเพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถได้มาง่ายๆ หากปราศจากการอดทน เมื่อได้เริ่มลงมือทำไปแล้ว
  7. แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ยังต้องมีการอัพเดทเวอร์ชั่นให้ใหม่อยู่เสมอ ดังนั้นคนเราจึงต้องคิดหาความรู้ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาในเรื่อยๆ ตราบใดที่โลกยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
  8. การเริ่มต้นใหม่ให้ชีวิตต้องหาแนวคิด และการพัฒนาตัวเองได้ความรู้ใหม่ๆ เพราะเราไม่สามารถหาคำตอบได้ไหมได้จากโจทย์เดิมๆ
  9. ตราบใดที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีสิ่งใหม่ๆใหม่ที่เกิดขึ้น การยึดติดกับแบรนด์และองค์กรก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เราควรพร้อมที่จะก้าวเข้าหาหาสิ่งดีกว่า
  10. สมัยนี้คนเราส่วนใหญ่มักนิยมคำว่า "รวยด่วน" งานยากๆ คนส่วนใหญ่มักจะเมินและไม่อยากทำ หากเรายอมทำงานยากเหล่านั้น ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นเป็นรางวัลที่ได้กลับคืนมา

3 รู้ก่อนให้เงินทำงาน

ให้เงินทำงาน

หันไปทางไหนมีแต่คนบอกว่าไม่ควรเก็บเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉยๆ ควรนำเงินมาลงทุนจะได้เงินทำงานทำให้เงินงอกเงย เป็นหลักการที่ดีเพราะจะทำให้เรามีความมั่งคั่งในอนาคต ทำให้เงินเติบโตไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้รวดเร็วขึ้นจากการลงทุน ทำให้แต่ละคนมุ่งหน้าหาเงินเพื่อให้เงินงอกเงย โดยมองข้ามพฤติกรรมการใช้เงินและไม่สนใจวิธีหาเงินมาลงทุน ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เราผิดพลาดทางด้านการลงทุนอย่างร้ายแรง แม้ว่าการลงทุนนั้นจะดีมากแค่ไหน แต่ถ้าวิธีการยังผิดพลาด ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิดไว้แน่นอน เราควรเรียนรู้อะไรบ้างก่อนที่ทำเงินให้งอกเงย

3 รู้ก่อนให้เงินทำงาน


1. รู้จักใช้จ่าย

รอยรั่วเพียงนิดสามารถทำลายเขื่อนทั้งเขื่อนให้พังทะลายลงมาได้ เพราะน้ำจะซึมออกมาเรื่อยๆค่อยๆกัดเซาะรอยที่แตกให้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอนานเข้าก็ทำให้เกิดรอยแยกจนทำให้เขื่อนทั้งหมดพังลงมา ก็เหมือนกับการออมเงินที่แม้ว่าเราจะมีเงินออมมากแค่ไหน หรือนำเงินไปลงทุนได้เงินมากมาย แต่ถ้าเรามีรอยรั่วที่พฤติกรรมการใช้เงินด้วยวิธีแบบผิดๆ ยิ่งมีรายได้มากขึ้น ยิ่งใช้จ่ายมากขึ้นแบบนี้มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่เหลือ เพราะการใช้เงินนั้นสำคัญกว่าการหาเงิน ควรปิดรอยรั่วของรายจ่ายก่อนเริ่มลงทุน
ตัวอย่างพฤติกรรมทำให้เงินหาย
  • รักการแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ หาเงินได้เท่าไหร่ก็ทุ่มให้หมด
  • ชอบของใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็ปเล็ต มีรุ่นใหม่ออกมาก็ต้องซื้อมาเป็นเจ้าของให้ได้
  • ช้อปปิ้งเท่านั้นที่ครองโลก มีอะไรลดราคาก็ต้องจัดเต็มทุกครั้ง

2. รู้วิธีจัดสรรเงินก้อนเล็ก

“มีเงินเยอะกว่านี้แล้วค่อยออมเงิน” เป็นคำพูดที่ฟังแล้วสะเทือนใจมาก เพราะการออมไม่ได้แบ่งกันที่จำนวนเงินว่าต้องมีเงินเป็นแสน เป็นล้านถึงจะเริ่มออม แต่เราควรเริ่มต้นออมเงินด้วยรายได้หลักพันหรือหลักหมื่นของเรานี่แหละ มีรายได้มากก็ออมมาก มีรายได้น้อยก็ออมน้อย เช่น ออมเงินที่ 10% , 20% ,50% หรือ 70% ของรายได้ ฝึกที่จะจัดแบ่งเงินก้อนเล็กให้ได้ ใช้ให้พอในชีวิตประจำวันและที่สำคัญควรแบ่งเงินออมไว้ด้วย ถ้าเราสามารถดูแลเงินก้อนเล็กได้ เราก็จะสามารถดูแลเงินก้อนใหญ่ได้เช่นกัน

3. รู้วิธีหาเงินลงทุนอย่างถูกวิธี


ทำงาน ==> ออมเงิน ==> ลงทุน

ไม่ใช่ กู้เงิน ==> ลงทุน


เมื่อเราได้เงินจากการทำงาน แบ่งออมก่อนนำมาใช้จ่ายแล้วต่อยอดด้วยการลงทุน แต่หลายคนชอบทางลัดอยากให้เงินช่วยทำงานเพื่อให้เติบโตอย่างรวดเร็ว จึงหาแหล่งเงินมาลงทุนด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องด้วยการกู้เงินมาลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยโดยไม่ใช้เงินตัวเอง ซึ่งอาจจะผิดหรืออาจจะถูกก็ได้ เพราะวิธีที่คนอื่นใช้อาจจะไม่ได้ผลกับเรา เช่น หลายท่านคิดว่าจะลงทุนซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า โดยใช้ค่าเช่าเป็นค่าผ่อนคอนโดซึ่งเป็นแนวคิดที่ดี จึงคิดที่จะกู้เงินมาลงทุนบ้าง แต่เราควรสำรวจตนเองก่อนการลงทุนว่า ……
  • จะหาคนเช่าคอนโดได้อย่างไร
  • ถ้ายังไม่มีคนมาเช่า มีเงินเพียงพอที่จะผ่อนเพื่อรอคนมาเช่าหรือไม่
  • เงินเพียงพอกับค่าตกแต่งห้องเพื่อดึงดูดให้คนมาเช่า เช่น แอร์ เฟอร์นิเจอร์
  • ฯลฯ

“ความสำเร็จเลียนแบบกันไม่ได้

แต่ออกแบบเป็นสไตล์ของตัวเองได้”

เราอ่านเจอในกระทู้นึงที่มีรูปแบบการนำเงินมาลงทุนแบบไม่ค่อยถูกต้องมาเป็นตัวอย่างเพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้น ซึ่งหลายคนที่กำลังคิดจะทำตามก็ขอให้หยุดคิดสักนิดเพราะการลงทุนมันไม่ได้มีแต่กำไรอย่างเดียว มันมีขาดทุนด้วย เพราะแทนที่จะได้เงินงอกเงยแต่จะได้หนี้สินงอกเงยกลับไป ซึ่งการลงทุนนั้นจะต้องนำเงินส่วนที่เหลือหรือเงินเย็นจริงๆเท่านั้น ถ้ากู้มาลงทุนอาจจะทำให้เสียจังหวะการลงทุน เพราะจะขายก่อนที่จะได้กำไรก้อนโต

กระทู้ตัวอย่าง นำเงินกู้สหกรณ์มาลงทุนหุ้น 3 ปี ในช่วงที่เกิดปฏิวัตได้ขายหุ้นเพื่อนำเงินไปคืนสหกรณ์ ณ ดัชนี 1,377  นี่คือภาพการกู้เงินมาลงทุน (ถ้าเงินนี้เป็นเงินเย็นที่ถือลงทุนยาวๆเจ้าของพอร์ตนี้คงกัดลิ้นตัวเองเพราะตอนนี้หุ้นขึ้นมาเกือบ 1,600 น่าจะได้กำไรเยอะมาก)

แชร์ประสบการณ์ เงินทํางาน 3 รู้ก่อนให้เงินทำงาน
อ่านบทความต่อด้านล่างผู้สนับสนุน


ที่มา : http://pantip.com/topic/32185347

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…


ควรนำเงินเย็นมาลงทุน


ในอดีตที่เราสนใจลงทุนหุ้นแต่ไม่มีประสบการณ์และมีความรู้น้อยมาก ทำให้ต้องอ่านมากกว่าคนอื่น อ่านหนังสือแนะนำต่างๆ แต่ก็มีคำถามคาใจว่า “ถ้าหุ้นมันดีจริงแล้วทำไมปี 40 ถึงได้เจ๊งขนาดนั้น” เราแค่อยากรู้ไว้จะได้ไม่ ซ้ำรอยเดิม แม้ว่ามันมาจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องจนเกิดเป็นวิกฤต แต่หนึ่งในวิธีการลงทุนแบบเจ๊งเร็วที่สรุปเอง คือ มันขึ้นอยู่กับความรู้และเงินที่นำมาลงทุนที่ยิ่งเงินร้อนมากยิ่งพังเร็ว

ดังนั้นเราจึงเตือนตัวเองไว้เสมอว่า “จะไม่นำเงินกู้มาลงทุนเด็ดขาด” มีแค่ไหนเล่นแค่นั้น เราใช้คำว่า “เล่น” เพราะเราเป็นนักเก็งกำไรที่เล่นรอบ ไม่ใช่นักลงทุนที่ถือยาวรอปันผล จากการทำงานทำให้เห็นนักลงทุนหลายท่านที่ไม่เข้าใจการลงทุนของตนเอง มองว่าการเก็งกำไรเป็นสิ่งไม่ดีจึงใช้คำแทนตัวเองว่าเป็นนักลงทุนที่ซื้อแล้วรอปันผล แต่วิธีการลงทุนนั้นไม่ต่างจากนักเก็งกำไรที่ซื้อไม่ถึงสัปดาห์ก็ขายทิ้ง

เราควรเข้าใจตนเองก่อนว่าเป็นนักลงทุนแบบไหน สั้น ปานกลางหรือถือยาว แล้วจึงเลือกหุ้นให้ถูกกับนิสัยของตนเอง เราเห็นหลายคนที่ “ซื้อหุ้นอย่าง VI แล้วขายแบบนักเก็งกำไร” หรือ “ซื้อหุ้นอย่างนักเก็งกำไรแล้วขายอย่าง VI” มาเยอะละ ผลงานไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ สรุปคือ ถ้าเราไม่ใช่ VI แท้ก็ยอมรับซะว่าเป็นนักเก็งกำไรที่ต้องท่องคำว่า “คัทลอส” ให้ขึ้นใจก่อนการเล่น ไม่อย่างนั้นคงสำลักคำว่า “ดอย”

“เงินออมที่มีอาจจะหมดได้
ถ้าเราไม่เข้าใจนิสัยของตัวเอง”


คุณคิดว่าคนถูกหวยกับคนไม่ถูกหวยจะได้ยินใครคุยมากกว่ากัน?? เป็นคำถามที่เราใช้ตอบนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาลงทุนครั้งแรก เพราะแต่ละคนที่เข้ามามักมีภาพที่สวยงานว่าการลงทุนมีแต่กำไร เพื่อนรอบข้างนักลงทุนมีแต่กำไรกันทั้งนั้น แม้ว่าเรารู้วิธีลงทุนที่ได้ผลตอบแทนจากเล่นหุ้น แต่จะไม่เล่าให้นักลงทุนหน้าใหม่ฟัง ไม่ใช่กั๊กวิชา แต่อยากจะสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดให้ระมัดระวังก่อนการลงทุน เรื่องดีๆจากการลงทุนก็น่าจะฟังมาเยอะแล้ว เราเลือกที่จะเล่าถึงการลงทุนที่ผิดวิธี เงินที่นำมาลงทุนและสไตล์การลงทุนที่ผิดพลาด เพื่อเตือนก่อนว่าหนทางการลงทุนข้างหน้าจะเจอกับอุปสรรคอะไรบ้าง จะได้ไม่ผิดซ้ำรอยเดิม

“หากนำเงินมาลงทุนที่ผิดวิธี

จากเงินที่งอกเงยจะกลายเป็นหนี้งอกเงย


ขอบคุณกระทู้นี้ที่ทำให้เรารู้ว่าวิธีเดิมๆแบบปี 40 นั้นไม่ได้หายไปจากความคิดการลงทุนที่มองว่าเล่นหุ้นแล้วรวยง่าย คุณอาจจะโชคดีที่ผ่านพ้นมันมาได้ เป็นการเก็งกำไรแบบนักลงทุนทั่วไปที่จะโชคดีไม่เกิน 3 ครั้ง เพราะครั้งสุดท้ายเป็นรอบ “เหมาจ่าย”

ครั้งที่ 1 ได้กำไร
ครั้งที่ 2 ได้กำไร
ครั้งที่ 3 ได้กำไรและจะทุ่มหมดตัว
ครั้งที่ 4 หมดตัวจริงๆ อาจจะมีหนี้ติดมานิดหน่อย

ที่มาhttp://www.aommoney.com/

สร้างรายได้ 50,000 บาท ต่อเดือน

aommoney-invest-chill-chill
แนวทางการสร้างรายได้โดยให้เงินทำงานให้เราหรือเรียกว่า Passive income นั้น เป็นอะไรที่เป็นความต้องการสูงในปัจจุบันยิ่งในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ด้วย ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมได้เปรียบกว่าผู้อ่อนแอกว่าเสมอ เราจะเตรียมรับมือกับสถานะการณ์การถดถอยของเศรษฐกิจในปี 2015 ได้อย่างไร เรามาดูกัน
เริ่มแรกผู้เขียนก็ได้รับแรงบัลดาลใจมากจาก aommoney.com ซึ่งเป็นแหล่งความรู้สำคัญแหล่งหนึ่งที่ผู้เขียนเข้าไปศึกษาหาข้อมูลบ่อยจึงได้ขอนำข้อมูลบางส่วนบวกกับประสบการณ์ของผู้เขียนเองมาถ่ายทอดผ่านบทความนี้ครับ
วิธีสร้างรายได้เดือนละ 50,000 บาทต่อเดือนโดยให้เงินทำงานแทนเรานั้น มีหลากหลายวิธีแต่องค์ประกอบสำคัญไม่ว่าจะใช้วิธีไหนต้องมีปัจจัยทางเศรษฐกิจและธุรกิจเป็นตัวแปรด้วยนะครับ

วิธีแรก การสร้างเงินออมเพื่อสร้างความมั่งคั่ง

การสร้างเงินออมเกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัยคือ 1. การเพิ่มรายรับ และ 2. การลดรายจ่าย และที่สำคัญก็ควรออมเงินเดือนตามที่ตัวเองกำหนดไว้ให้ได้
อย่างผู้เขียนตั้งเป้าออมเงินไว้ 5,000 บาท ต่อเดือน ครบ 1 ปีผู้เขียนก็จะมีเงินต่อยอด 60,000 บาท ยังไม่รวมดอกเบี้ยธนาคารตั้งต้นที่เริ่มฝากด้วยนะครับ จากนั้นเราสามารถเอาเงินจำนวนนี้ไปต่อยอดในแบบเงินฝากแบบทวีคูณได้อีก ซึ่งวิธีผมเรียกว่าเงินเย็นครับ เอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินได้อีกด้วย

วิธีที่สอง การสร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุน

นำเงินลงทุนซึ่งถ้าเน้นความเสี่ยงมากๆก็ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากขึ้นตามความเสี่ยง โดยวิธีลดความเสี่ยงมีดังนี้
1. “รู้มากขึ้น” ศึกษา และ ทำความเข้าใจความเสี่ยงทำให้ตัดสินใจดีขึ้น ความเสี่ยงก็จะลดลง
2. “วางแผนให้เหมาะสม” พิจารณา รายได้ อายุ ภาระ และความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง

เมื่อเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ก็อาจจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้แต่… ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ได้เพราะปัจจัยในพื้นฐานธุรกิจและเศรษฐกิจมันมีผลต่อการเติบโตเหมือนกัน

วิธีที่สาม การใช้ระยะเวลาเพื่อขยายความมั่งคั่ง

เพิ่มระยะเวลาในการลงทุนเพื่อให้ถึงสู่เป้าหมายแถมยังสามารถลดความเสี่ยงในการลงทุน เราจะสร้าง Passive Income ด้วยเงินเพิ่มน้อยนิดนั้นเราจำเป็นต้องหาทางออกด้วยการ เพิ่มระยะเวลาสำหรับการขยายความมั่นคั่ง การเพิ่มระยะเวลานอกจากจะทำให้เราเห็นหนทางในการไปสู่เป้าหมายแล้ว ยังสามารถลดความเสี่ยงในการลงทุน อย่างน้อยเงินก็ไม่จมไปกับการลงทุน เราจะทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ วางแผนดีๆก็มีโอกาสมีเงิน 50,000 บาท เพิ่มได้ทุกเดือนสบายๆ

ข้อสำคัญของการลงทุนคือ “เงินสะสมมันจะเติบโตและจะเป็นเงินก้อนที่จะใช้มาเป็นเงินลงทุน โดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงกู้มาเพื่อลงทุน” แต่สิ่งที่คุณจะต้องระลึกไว้เสมอว่าการเริ่มต้นมันยากมากเพราะยิ่งเราลงทุนระยะสั้นเรายิ่งต้องพบกับความผันผวนบางปีกำไรมากบางปีขาดทุน แต่ถ้าหุ้นมันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยปัจจัยแห่งเวลามันจะช่วยให้คุณสร้างผลตอบแทนได้

ปัจจัยด้านการลงทุน ลงทุนในหุ้นเติบโตหรือกองทุนรวมหุ้นที่เติบโต

ยกตัวอย่างจากหุ้นตัวหนึ่งที่ Profile เป็นชนิดที่เติบโตในระยะยาว เราจะคิดราคาเฉลี่ยของปีนั้นๆเอาจะได้คิดง่ายๆ จากกราฟดูการเติบโตตลอดแต่ก็มีปัจจัยที่ขาดทุนในช่วงสภาวะของเศรษฐกิจและตัวธุรกิจเอง บางปีอาจจะติดลบเยอะๆ บางปีก็เติบโตน้อย บางปีก็เติบโตเป็นสองสามเท่า ซึ่งถ้าเราลงทุนระยะสั้นก็อาจจะขาดทุนมากกว่า -50% ก็ได้เพราะจังหวะที่เราเข้าอาจเป็นจังหวะตลาดวูบพอดี
passive-income-case1-2

จากข้อมูลตารางด้านบนเราจะมาลอง Simulation ดูว่าถ้าเราลงทุนหุ้น 20ปี นั้นผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรบ้าง โดยยึดจาก Profile หุ้นที่ให้ปั้นผลหุ้นประมาณปีละ 6% เราจะใช้ตัวเลข 6% ของมูลค่าหุ้นเฉลี่ยของปีนั้นๆมาจำลอง
passive-income-case1-1
ช่วง 5 ปีแรกเงินเดือนน้อยออมได้น้อย พออายุงานมากขึ้นประสบการณ์การทำงานเพิ่มขึ้น ช่องทางในการหารายได้มีมากขึ้น ก็สามารถเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนได้มากขึ้น แล้วก็ออมไปเรื่อยๆการสร้าง Passive Income ที่ดีจะเกิดการวางแผนที่เหมาะสมและรู้จักปรับตามสถานการณ์เมื่อสะสมได้มากขึ้น จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะทวีคูณเงินปันผลบางปีปันผลเยอะ บางปีปันผลน้อยเฉลี่ยๆกันไป พอสุดท้ายแล้วก็จะมี Passive Income ในระดับเดือนละหลักหมื่นได้จากในตารางด้านบน เราสามารถสร้างรายได้ต่อเดือนจากเงินปันผลได้ 50,000 บาทภายใน 12 ปี เท่านั้นครับ


Cr. aommoney.com  http://www.propertytoday.in.th

เคล็ดไม่ลับ 10 วิธีใช้เงินทํางานแทน


เคล็ดไม่ลับ 10 วิธีใช้เงินทํางานแทน
อีกหนึ่งในความฝันของมนุษย์เงินเดือนหลายคนยากให้เงินทํางานแทนและรู้ดีว่าการวางแผนหา วิธีใช้เงินทํางานแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เงินเดือนอายุล่วงเลยไปเข้า 30 ปี การจะเริ่ม ออมเงิน ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ทั้งๆที่รู้ และได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มามากมายแล้วก็ตามแต่สุดท้ายก็ยังไม่เริ่มต้นสักที เตือน… มนุษย์เงินเดือนอายุจะ30 ออมเงินเกษียณ เริ่มเมื่อไหร่ถึงไม่สาย
มีเงินมาก มีเงินน้อย ก็อยากให้เงินงอกเงยขึ้นทั้งนั้น 10 วิธีใช้เงินทํางานแทน ลองมาดูว่าแล้วเงินในกระเป๋าของคุณจะต่อยอดไปทางไหนได้บ้าง กับผลิตภัณฑ์การเงินการลงทุนต่างๆ
1. เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสภาพคล่องสูง ต้องการถอนเมื่อไหร่ก็ได้ และให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ปกติ บางแห่งก็ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2.7% สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีเสียอีก แต่ต้องดูเงื่อนไขการฝากเงินด้วย
2. เงินฝากประจำปลอดภาษี
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมประจำทุกเดือน ส่วนใหญ่ระยะเวลา 24 เดือนขึ้นไป ข้อดีคือ ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ ได้อัตราที่แน่นอน ไม่ว่าช่วงนั้นดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง เมื่อครบกำหนดได้ดอกเบี้ยครบทุกบาททุกสตางค์แบบไม่ต้องเสียภาษี ส่วนข้อเสียคือหากถอนก่อนกำหนด ดอกเบี้ยจะไม่ได้ตามที่ระบุไว้
3. สลากออมสิน สลากออมทรัพย์ธ...
เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ระยะเวลาขึ้นกับสลากประเภทนั้นๆ มีทั้ง 3-5 ปี ความพิเศษนอกจากได้ดอกเบี้ยแล้ว ยังได้ลุ้นรางวัลกันทุกเดือน การซื้อคิดเป็นหน่วยละ 50 บาท
4. ประกันชีวิตสะสมทรัพย์
ทางเลือกใหม่สำหรับการออมเงินที่ความเสี่ยงต่ำ ได้รับสิทธิประโยชน์หลายอย่างในหนึ่งเดียว ทั้งผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากที่ไม่ต้องเสียภาษี รับเงินคืนทุกปี นำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้อีก ได้รับความคุ้มครองอุบัติเหตุและการเสียชีวิตแถมยังได้เงินก้อนหลังสิ้นสุดสัญญา ต้องการระยะสั้น-ระยะยาว ก็มีให้เลือกตามความพอใจ
5. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)
เหมาะสำหรับผู้ต้องการออมเงินระยะยาวยามเกษียณ โดยมีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ด้วย แต่เงื่อนไขคือ ขายคืนหน่วยลงทุนเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป ซื้อได้ปีเว้นปี ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนหลากหลาย เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงสุดภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้
 6. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)
คนวัยทำงานมักนิยมเลือกกองทุนนี้เป็นหลัก เพราะมีสภาพคล่องมากกว่า ขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบ 5 ปีปฏิทิน ซึ่งระหว่างปีสามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วย โดยแนวทางคล้ายกับ RMF ที่บลจ.จะเลือกบริหารเงินลงทุน แต่กองทุนนี้เน้นไปที่หุ้นจึงมีความเสี่ยงมากกว่า RMF แต่ผลตอบแทนสูงกว่าเช่นกัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของผู้บริหารกองทุน
7. กองทุนรวมตราสารหนี้
ผลิตภัณฑ์นี้มีระยะเวลาให้เลือกตั้งแต่ 3 เดือน-3 ปี รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อผลตอบแทนถึงเป้าหมาย หากเป็นการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ จะมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินด้วย ผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษี ส่วนความเสี่ยงจะคล้ายกับหุ้นที่หวั่นไหวกับภาวะเศรษฐกิจ ผลตอบแทนอาจไม่ได้ตามเป้าหมาย 10กองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2558
8. พันธบัตรรัฐบาล
เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินเย็นมากๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ไปหลายปี เพราะพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างมีระยะเวลานาน แต่ข้อดีของพันธบัตรรัฐบาลคือ ความเสี่ยงต่ำมาก ในระดับดอกเบี้ยที่ใช้ได้
9. หุ้นกู้
เป็นตราสารหนี้อีกประเภทหนึ่งที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ซึ่งระยะเวลาขึ้นอยู่กับบริษัทจะกำหนดไว้มีตั้งแต่ 2-10 ปี โดยผลตอบแทนสูงแค่ไหนขึ้นอยู่กับอันดับความน่าเชื่อถือ(เรตติ้ง)เรตติ้งสูงสะท้อนถึงความมั่นคงบริษัทสูง ดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าบริษัทที่มีเรตติ้งระดับรองลงมา ซึ่งผู้สนใจต้องอ่านรายละเอียดด้วยว่าเป็นหุ้นกู้ประเภทใด เงื่อนไขการไถ่ถอนคืนเป็นอย่างไร
10. หุ้น
ตัวนี้มีระดับความเสี่ยงสูงมากเหมาะสำหรับคนที่มีเงินกองอยู่หน้าตักมากๆ ชอบความตื่นเต้นเร้าใจและใจแข็งพอที่จะเห็นการขาดทุนในบางครั้ง เพราะราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวผันผวนตามข่าวคราว ดังนั้น จึงไม่แปลกที่อัตราผลตอบแทนมีตั้งแต่ติดลบไปจนถึงเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว


"คำเตือนความเสี่ยง: ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่นำเสนอโดย บริษัท ดำเนินการในระดับสูงของความเสี่ยงและอาจส่งผลในการสูญเสียของเงินทุนทั้งหมดของคุณคุณไม่ควรลงทุนเงินที่คุณไม่สามารถจะสูญเสีย.."

บทความที่ได้รับความนิยม